บท 5
อำนาจในการสร้างของ “ผู้สร้างฟ้าและโลก”
1, 2. ดวงอาทิตย์แสดงให้เห็นอำนาจของพระยะโฮวาในการสร้างยังไง?
คุณเคยยืนผิงไฟในคืนที่หนาวจัดไหม? บางทีคุณอาจยื่นมือออกไปอังไฟในระยะที่พอเหมาะเพื่อจะได้รับความอบอุ่นจากเปลวไฟที่แผ่ความร้อนออกมา ถ้าคุณเข้าไปใกล้เกินไป ก็จะร้อนจนทนไม่ไหว แต่ถ้าคุณถอยห่างเกินไป คุณก็จะรู้สึกหนาว
2 ดวงอาทิตย์เป็นเหมือน “ไฟ” ที่ให้ความอบอุ่นกับเรา “ไฟ” ดวงนี้อยู่ห่างออกไปประมาณ 150 ล้านกิโลเมตรa ดวงอาทิตย์ต้องมีพลังมหาศาลมากจริง ๆ เพื่อเราจะรู้สึกถึงความร้อนของมันที่อยู่ไกลขนาดนั้นได้ โลกของเราอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ในระยะที่พอเหมาะ ถ้าใกล้เกินไป น้ำบนโลกก็จะกลายเป็นไอ ถ้าไกลเกินไป น้ำทั้งหมดก็จะแข็งตัว ระยะใกล้เกินไปหรือไกลเกินไปจะทำให้โลกปราศจากชีวิต นอกจากจะจำเป็นสำหรับชีวิตบนโลกแล้ว ดวงอาทิตย์ยังเป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดและทำให้เรามีความสุข—ปัญญาจารย์ 11:7
3. ดวงอาทิตย์สอนอะไรเราได้บ้าง?
3 ถึงแม้เราจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์ แต่คนส่วนใหญ่กลับมองว่าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งธรรมดา เพราะอย่างนี้ พวกเขาเลยไม่เข้าใจสิ่งที่ดวงอาทิตย์อาจสอนเราได้ คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงพระยะโฮวาว่า “พระองค์สร้างแสงสว่างและดวงอาทิตย์” (สดุดี 74:16) ดวงอาทิตย์ทำให้พระยะโฮวา “ผู้สร้างฟ้าและโลก” ได้รับเกียรติ (สดุดี 19:1; 146:6) แต่คุณรู้ไหม ดวงอาทิตย์เป็นแค่ดาวดวงหนึ่งในกลุ่มดาวมากมายนับไม่ถ้วนที่สอนเราเกี่ยวกับอำนาจในการสร้างที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวา ให้เรามาดูเกี่ยวกับดวงดาวเหล่านี้บางดวงมากขึ้น แล้วหลังจากนั้นเราจะมาดูเกี่ยวกับโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลกด้วย
พระยะโฮวา “สร้างแสงสว่างและดวงอาทิตย์”
“เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและดู”
4, 5. ดวงอาทิตย์มีพลังและใหญ่ขนาดไหน? แต่ดวงอาทิตย์เป็นยังไงเมื่อเทียบกับดาวดวงอื่น ๆ?
4 คุณคงรู้ว่าดวงอาทิตย์เป็นดาวดวงหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าดาวอื่น ๆ ที่เราเห็นในตอนกลางคืน เพราะดวงอาทิตย์อยู่ใกล้กับโลกมากกว่าดาวเหล่านั้น ดวงอาทิตย์มีพลังมากแค่ไหน? ตรงแกนกลางของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิประมาณ 15 ล้านองศาเซลเซียส ถ้าคุณเอาส่วนหนึ่งจากแกนของดวงอาทิตย์ขนาดเท่าหัวเข็มหมุดมาวางไว้บนโลก คุณก็จะต้องยืนห่างออกไปไกลกว่า 140 กิโลเมตรเพื่อจะไม่โดนเผา ทุกวินาทีดวงอาทิตย์ปล่อยพลังงานออกมาเท่ากับการระเบิดของนิวเคลียร์หลายร้อยล้านลูก
5 ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าโลกถึง 1 ล้านสามแสนเท่า ดวงอาทิตย์เป็นดาวที่ใหญ่ผิดปกติไหม? ไม่ พวกนักดาราศาสตร์เรียกดวงอาทิตย์ว่าดาวแคระเหลือง อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “รัศมีของดาวแต่ละดวงก็แตกต่างกันไป” (1 โครินธ์ 15:41) แต่พลังบริสุทธ์เท่านั้นที่ช่วยเปาโลให้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ มีดาวดวงหนึ่งที่ใหญ่มากถึงขนาดที่ถ้าเอามันมาตั้งอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับดวงอาทิตย์ โลกของเราก็จะอยู่ข้างในดาวดวงนั้นได้ มีดาวอีกดวงหนึ่งที่ใหญ่มากซึ่งถ้าเอามันมาตั้งอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับดวงอาทิตย์ มันจะกินพื้นที่ไปถึงดาวเสาร์ ถึงแม้ดาวดวงนั้นอยู่ไกลจากโลกถึงขนาดที่ยานอวกาศใช้เวลา 4 ปีเพื่อจะไปถึงที่นั่น และยานอวกาศนั้นต้องเดินทางด้วยความเร็วมากกว่าความเร็วของลูกกระสุนปืน 40 เท่า
6. คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นยังไงว่ามีดวงดาวมากมายมหาศาล?
6 ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าขนาดของดวงดาวก็คือจำนวนของดวงดาว ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนจะนับจำนวนดาวได้ เหมือนกับที่ไม่มีใครจะนับ “ทรายในทะเล” ได้ (เยเรมีย์ 33:22) นี่หมายความว่า มีดวงดาวอีกมากมายที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ที่จริง ถ้าผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิล เช่น เยเรมีย์เงยหน้าดูท้องฟ้าตอนกลางคืนแล้วพยายามจะนับดาวที่เขามองเห็น เขาก็คงนับได้แค่ประมาณ 3,000 ดวงเท่านั้น เพราะนั่นเป็นจำนวนที่คนเราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในคืนที่ท้องฟ้าโปร่ง และจำนวนนั้นอาจเทียบได้กับจำนวนเม็ดทรายแค่กำมือเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีดาวมากมายมหาศาลเหมือนทรายในทะเลb จะมีใครนับจำนวนดวงดาวทั้งหมดได้จริง ๆ ไหม?
7.นักดาราศาสตร์คิดยังไงเกี่ยวกับจำนวนดาวในกาแล็กซีของเรา และจำนวนกาแล็กซีในเอกภพ?
7 อิสยาห์ 40:26 ตอบว่า “เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและดูซิว่า ใครเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านั้น พระเจ้าเป็นผู้เรียกดวงดาวเหล่านั้นออกมาทีละดวงตามจำนวนของมันเหมือนกับเรียกทหารในกองทัพ พระองค์เรียกชื่อดวงดาวเหล่านั้นได้ทั้งหมด?” และที่สดุดี 147:4 บอกว่า “พระองค์นับดาว” ดวงดาวมีมากแค่ไหน? นี่ไม่ใช่คำถามง่าย ๆ นักดาราศาสตร์กะประมาณว่าเฉพาะในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรามีดาวมากกว่า 1 แสนล้านดวงc บางคนคิดว่าอาจมีมากกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่เอกภพของเรามีกาแล็กซีอีกเป็นจำนวนมาก และหลายกาแล็กซีก็มีจำนวนดาวมากกว่ากาแล็กซีทางช้างเผือกด้วย แล้วมีกาแล็กซีทั้งหมดมากขนาดไหน? นักดาราศาสตร์บางคนได้กะประมาณว่ามี 1 แสนล้านกาแล็กซี หรืออาจถึงล้านล้านกาแล็กซีด้วยซ้ำ ดังนั้น ดูเหมือนว่ามนุษย์ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีกาแล็กซีมากขนาดไหน คงไม่ต้องพูดถึงจำนวนดวงดาวหลายพันล้านดวงที่อยู่ในแต่ละกาแล็กซี แต่พระยะโฮวารู้จำนวนดวงดาวทั้งหมด ยิ่งกว่านั้น พระองค์ตั้งชื่อให้ดาวแต่ละดวง
8. (ก) คุณจะอธิบายขนาดของกาแล็กซีทางช้างเผือกยังไง? (ข) ดวงดาวต่าง ๆ และกาแล็กซีมีการโคจรยังไง? เพราะอะไร?
8 เราจะยิ่งรู้สึกทึ่งมากขึ้นเมื่อได้คิดถึงขนาดของกาแล็กซี มีการกะประมาณว่ากาแล็กซีทางช้างเผือกจากด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่งมีระยะทางประมาณ 1 แสนปีแสง ลองคิดดูสิ แสงเดินทางเร็วมากถึงวินาทีละ 3 แสนกิโลเมตร แต่ก็ยังใช้เวลาถึง 1 แสนปีเพื่อแสงจะเดินทางข้ามกาแล็กซีของเราได้ แถมบางกาแล็กซีมีขนาดใหญ่กว่ากาแล็กซีของเราหลายเท่า คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวากาง “ท้องฟ้า” ออกเหมือนกางเต็นท์ (สดุดี 104:2) พระองค์ควบคุมสิ่งเหล่านี้ให้โคจรอย่างเป็นระเบียบด้วย ตั้งแต่สิ่งที่เล็กที่สุดไปจนถึงกาแล็กซีที่ใหญ่ที่สุด (โยบ 38:31-33) เพราะอย่างนี้นักวิทยาศาสตร์ถึงเปรียบเทียบการโคจรที่แม่นยำของดวงดาวต่าง ๆ กับการเต้นบัลเลต์ที่งดงาม ขอให้คิดถึงพระเจ้าผู้สร้างสิ่งเหล่านี้สิ คุณคงรู้สึกประทับใจในอำนาจการสร้างที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์จริง ๆ
“พระองค์เป็นผู้สร้างโลกด้วยพลังของพระองค์”
9, 10. เราเห็นอำนาจในการสร้างของพระยะโฮวายังไงเมื่อคิดถึงตำแหน่งระบบสุริยะของเรา ดาวพฤหัสบดี โลก และดวงจันทร์?
9 เรายังเห็นอำนาจในการสร้างของพระยะโฮวาในวิธีที่พระองค์สร้างโลกซึ่งเป็นบ้านของเรา พระองค์ตั้งโลกไว้ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะในเอกภพที่กว้างใหญ่นี้ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าหลายกาแล็กซีอาจไม่เหมาะที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ ส่วนใหญ่ของกาแล็กซีทางช้างเผือกก็ดูเหมือนไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้สิ่งมีชีวิตอยู่ ตรงใจกลางกาแล็กซีมีการแผ่รังสีสูงมาก และมีดวงดาวโคจรอยู่ใกล้กันจำนวนมากซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ส่วนขอบด้านนอกของกาแล็กซีก็ขาดธาตุหลายอย่างที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต แต่ระบบสุริยะของเราตั้งอยู่ในตำแหน่งเหมาะสมที่สุด
10 โลกได้รับการปกป้องจากดาวพฤหัสบดี ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป เนื่องจากดาวพฤหัสบดีมีขนาดใหญ่กว่าโลกมากกว่าพันเท่า ดาวดวงนี้จึงมีแรงโน้มถ่วงมหาศาล นี่ส่งผลดีอะไร? ดาวเคราะห์นี้สามารถดูดวัตถุต่าง ๆ ที่พุ่งผ่านอวกาศไปอย่างรวดเร็วหรือไม่ก็ทำให้วัตถุนั้นเปลี่ยนทิศทาง พวกนักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า ถ้าไม่มีดาวพฤหัสบดี ก็จะมีวัตถุจำนวนมากมายเหมือนห่าฝนที่พุ่งชนโลกยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันถึง 1 หมื่นเท่า ใกล้เข้ามาอีกก็มีดวงจันทร์ โลกของเราได้รับประโยชน์จากดวงจันทร์ซึ่งเป็นดาวที่ไม่ธรรมดา ดวงจันทร์ไม่ใช่แค่มีความสวยงามและเป็น “แสงสว่างตอนกลางคืน” เท่านั้น แต่มันยังช่วยให้โลกเอียงด้วย นี่เลยทำให้โลกมีฤดูกาลที่แน่นอน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับชีวิต
11. ชั้นบรรยากาศของโลกได้รับการออกแบบยังไงเพื่อให้เป็นโล่ปกป้อง?
11 เรายังสามารถเห็นอำนาจในการสร้างของพระยะโฮวาจากวิธีที่พระองค์ออกแบบโลกด้วย ให้เรามาดูเกี่ยวกับชั้นบรรยากาศของโลกที่เป็นเหมือนโล่ปกป้อง ดวงอาทิตย์แผ่รังสีที่มีประโยชน์กับสุขภาพและรังสีที่ทำให้ถึงตายได้ เมื่อรังสีที่ทำให้ถึงตายนี้แผ่มาถึงชั้นบรรยากาศนอกโลก รังสีเหล่านั้นจะเปลี่ยนออกซิเจนธรรมดาเป็นโอโซน นี่ทำให้เกิดชั้นโอโซนรอบโลกที่จะช่วยดูดรังสีส่วนใหญ่ที่อันตรายเหล่านั้นออกไป มันเหมือนกับว่าโลกของเราได้รับการออกแบบให้มีเกราะกำบังตัวเอง
12. วัฏจักรของน้ำที่อยู่ในชั้นบรรยากาศแสดงให้เห็นอำนาจในการสร้างของพระยะโฮวายังไง?
12 นั่นเป็นแค่แง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับชั้นบรรยากาศของเรา ชั้นบรรยากาศของโลกยังช่วยให้เรามีอากาศหายใจ และช่วยให้มีสิ่งต่าง ๆ เพื่อค้ำจุนชีวิต สิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับชั้นบรรยากาศก็คือวัฏจักรของน้ำ ทุกปีดวงอาทิตย์ทำให้น้ำจากมหาสมุทรและทะเลต่าง ๆ บนโลกระเหยขึ้นไปมากกว่า 4 แสนลูกบาศก์กิโลเมตร น้ำก่อตัวเป็นเมฆและเมฆก็ถูกลมพัดกระจายออกไป น้ำที่ระเหยถูกกรองให้เป็นน้ำสะอาด แล้วหลังจากนั้นก็ตกลงมาเป็นฝน หิมะ และน้ำแข็งเพื่อเติมแหล่งน้ำให้เต็ม เหมือนที่ปัญญาจารย์ 1:7 บอกว่า “แม่น้ำลำธารทุกสายไหลลงสู่ทะเล แต่ทะเลก็ไม่เต็ม น้ำกลับไปที่เดิม แล้วไหลลงมาอีก” มีแต่พระยะโฮวาเท่านั้นที่ทำให้วัฏจักรนี้เกิดขึ้นได้
13. พืชและดินแสดงให้เห็นอำนาจในการสร้างของพระยะโฮวายังไง?
13 สิ่งมีชีวิตทุกชนิดทำให้เราเห็นว่าผู้สร้างของเรามีอำนาจมาก ตั้งแต่ต้นสนซีคัวยาที่ใหญ่และสูงกว่าตึก 30 ชั้นไปจนถึงพืชที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งมีอยู่มากมายในมหาสมุทรและให้ออกซิเจนส่วนใหญ่ที่เราหายใจ แม้กระทั่งดินก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต เช่น หนอน เชื้อรา และจุลินทรีย์ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทำงานร่วมกันในวิธีที่ซับซ้อนซึ่งช่วยให้พืชเจริญเติบโต คัมภีร์ไบเบิลก็บอกว่าดินสามารถผลิตอาหารสำหรับสิ่งมีชีวิตได้
14. มีพลังอะไรอยู่ในอะตอมขนาดเล็ก?
14 เห็นได้ชัดว่าพระยะโฮวาเป็น “ผู้สร้างโลกด้วยพลังของพระองค์” (เยเรมีย์ 10:12) แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดก็ช่วยให้เราเห็นอำนาจของพระเจ้าได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเอาอะตอมหนึ่งล้านอะตอมมาเรียงต่อกันมันก็ยังหนาไม่เท่ากับเส้นผมมนุษย์เส้นหนึ่ง และถึงแม้เราจะขยายอะตอมหนึ่งให้สูงเท่ากับตึก 14 ชั้น นิวเคลียสของมันก็จะมีขนาดแค่เม็ดเกลือเม็ดหนึ่งที่วางอยู่บนชั้น 7 ของตึกนั้น ถึงอย่างนั้น นิวเคลียสที่เล็กขนาดนั้นก็เป็นแหล่งของพลังงานที่น่าทึ่ง มีการใช้นิวเคลียสเหล่านั้นในการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ที่มีพลังทำลายล้าง
“ทุกสิ่งที่มีลมหายใจ”
15. พระยะโฮวาอยากสอนอะไรโยบเมื่อพูดถึงสัตว์ต่าง ๆ?
15 เรายังสามารถเห็นอำนาจในการสร้างของพระยะโฮวาได้โดยดูจากสัตว์หลายชนิดที่พระองค์สร้าง สดุดีบท 148 พูดถึงสิ่งต่าง ๆ มากมายที่สรรเสริญพระยะโฮวา และข้อ 10 ก็พูดถึง “สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง” ด้วย ครั้งหนึ่งพระยะโฮวาช่วยให้เห็นเหตุผลที่มนุษย์ควรเกรงกลัวพระองค์ พระองค์พูดกับโยบเกี่ยวกับสัตว์ต่าง ๆ เช่น สิงโต ม้าลาย วัวป่า เบเฮโมท (หรือฮิปโปโปเตมัส) และเลวีอาธาน (ที่อาจหมายถึงจระเข้) ตอนนั้นพระองค์อยากจะสอนอะไรโยบ? ถ้ามนุษย์ยังรู้สึกทึ่งเมื่อเห็นสัตว์ที่ใหญ่เหล่านี้ เขาก็น่าจะประทับใจในพระยะโฮวาผู้สร้างสัตว์เหล่านี้มากกว่านั้นอีก—โยบบท 38-41
16. คุณประทับใจอะไรเกี่ยวกับนกบางชนิดที่พระยะโฮวาสร้าง?
16 สดุดี 148:10 ยังพูดถึง “นก” ด้วย ลองคิดถึงความหลากหลายของนกดูสิ พระยะโฮวาบอกโยบเกี่ยวกับนกกระจอกเทศซึ่ง “หัวเราะเยาะม้าและคนขี่” ถึงนกนี้จะสูง 2.5 เมตรและบินไม่ได้ แต่มันสามารถวิ่งได้ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แค่เดินก้าวเดียวมันก็ไปได้ไกลถึง 4.5 เมตรแล้ว (โยบ 39:13, 18) ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีนกแอลบาทรอสที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตบินอยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเล นกที่เป็นเหมือนเครื่องร่อนธรรมชาตินี้มีปีกกว้างประมาณ 3 เมตร และอาจบินร่อนอยู่นานหลายชั่วโมงได้โดยไม่ต้องกระพือปีก และยังมีนกที่เล็กที่สุดในโลกคือนกฮัมมิงเบิร์ดผึ้งซึ่งมีความยาวแค่ 5 เซนติเมตรเท่านั้น แต่มันอาจกระพือปีกได้ถึง 80 ครั้งต่อวินาที นกฮัมมิงเบิร์ดมีสีสันระยิบระยับเหมือนอัญมณีสามารถบินลอยตัวได้เหมือนเฮลิคอปเตอร์และยังบินถอยหลังได้อีกด้วย
17. วาฬสีน้ำเงินใหญ่ขนาดไหน และคุณรู้สึกยังไงเมื่อได้เห็นสัตว์ต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาสร้าง?
17 สดุดี 148:7 บอกว่าแม้แต่ “สัตว์ทะเลตัวใหญ่” ก็สรรเสริญพระยะโฮวา ตัวอย่างเช่น ลองคิดถึงสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกดูสิ สัตว์ตัวนั้นคือวาฬสีน้ำเงิน สัตว์ที่ว่ายใน “น้ำลึก” นี้อาจยาวถึง 30 เมตรหรือมากกว่านั้น และอาจหนักเท่ากับช้างที่โตแล้ว 30 เชือก แค่ลิ้นของมันก็หนักเท่ากับช้างหนึ่งเชือก หัวใจของมันมีขนาดเท่ารถยนต์เล็กคันหนึ่ง อวัยวะที่ใหญ่โตนี้เต้นประมาณ 9 ครั้งต่อนาที ซึ่งต่างกันมากเมื่อเทียบกับหัวใจของนกฮัมมิงเบิร์ดที่อาจเต้นประมาณ 1,200 ครั้งต่อนาที เส้นเลือดของวาฬสีน้ำเงินเส้นหนึ่งก็ใหญ่พอที่เด็กเข้าไปคลานอยู่ข้างในได้ แน่นอน เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เราคงอยากพูดเหมือนคำลงท้ายของหนังสือสดุดีที่ว่า “ทุกสิ่งที่มีลมหายใจ ขอให้สรรเสริญยาห์”—สดุดี 150:6
บทเรียนจากการใช้อำนาจในการสร้างของพระยะโฮวา
18, 19. สิ่งมีชีวิตที่พระยะโฮวาสร้างบนโลกมีมากมายหลากหลายแค่ไหน และสิ่งเหล่านั้นสอนอะไรเกี่ยวกับอำนาจการปกครองของพระองค์?
18 เราเรียนรู้อะไรจากวิธีที่พระยะโฮวาใช้อำนาจในการสร้าง? เรารู้สึกประทับใจเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตมากมายที่พระยะโฮวาสร้าง ผู้เขียนสดุดีคนหนึ่งบอกว่า “พระยะโฮวา ผลงานของพระองค์มีมากมายจริง ๆ. . . โลกเต็มไปด้วยสิ่งที่พระองค์สร้างไว้” (สดุดี 104:24) นี่เป็นความจริง นักชีววิทยาพบว่าบนโลกของเรามีสิ่งมีชีวิตมากกว่าหนึ่งล้านชนิด แต่บางคนก็คิดว่าอาจมีมากกว่านั้นอีกหลายล้านชนิด บางครั้งจิตรกรคนหนึ่งอาจไม่มีความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ แต่เห็นได้ชัดว่าพลังในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ของพระยะโฮวานั้นไม่มีวันหมดไป
19 การใช้อำนาจในการสร้างสิ่งต่าง ๆ ของพระยะโฮวายังสอนเราด้วยว่าพระองค์มีสิทธิ์ที่จะปกครองทุกสิ่งที่พระองค์สร้าง คำว่า “ผู้สร้าง” ช่วยแยกพระยะโฮวาออกจากสิ่งอื่นทั้งหมดในเอกภพเพราะพระองค์เป็นผู้สร้างทุกสิ่ง ถึงแม้ลูกชายคนเดียวของพระยะโฮวาจะเป็น “นายช่าง” ในการสร้าง แต่คัมภีร์ไบเบิลก็ไม่เคยเรียกท่านว่าผู้สร้าง (สุภาษิต 8:30; มัทธิว 19:4) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น คัมภีร์ไบเบิลเรียกท่านว่า “ผู้แรกที่ถูกสร้างก่อนทุกสิ่ง” (โคโลสี 1:15) พระยะโฮวาสร้างทุกสิ่ง พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นมีสิทธิ์ที่จะปกครองเหนือทุกสิ่งในเอกภพ—โรม 1:20; วิวรณ์ 4:11
20. การที่พระยะโฮวาหยุดพักจากการสร้างสิ่งต่าง ๆ บนโลกหมายความว่าอะไร?
20 พระยะโฮวาหยุดใช้อำนาจในการสร้างของพระองค์แล้วไหม? ก็จริงที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเมื่อพระยะโฮวาเสร็จงานสร้างของพระองค์ในวันที่ 6 แล้ว “ในวันที่ 7 พระเจ้าจึงเริ่มหยุดพักจากงานทั้งหมดนั้น” (ปฐมกาล 2:2) อัครสาวกเปาโลบอกว่า “วัน” ที่ 7 นี้เป็นระยะเวลาหลายพันปี เพราะวันนั้นยังไม่สิ้นสุดในสมัยของเขา (ฮีบรู 4:3-6) แต่การ “หยุดพัก” หมายความว่าพระยะโฮวาไม่ทำงานอะไรเลยไหม? ไม่ พระยะโฮวาไม่เคยหยุดทำงาน (สดุดี 92:4; ยอห์น 5:17) ที่จริงแล้ว การหยุดพักของพระองค์เป็นแค่การหยุดพักจากการสร้างสิ่งต่าง ๆ บนโลก แต่พระองค์ไม่เคยหยุดทำงานเพื่อทำให้ความประสงค์ของพระองค์สำเร็จ เช่น ดลใจให้มีการเขียนคัมภีร์ไบเบิล และงานของพระองค์ยังรวมถึงการทำให้เกิด “คนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่” ซึ่งเราจะดูมากขึ้นในบท 19—2 โครินธ์ 5:17
21. ตอนที่เรามีชีวิตตลอดไป เราจะรู้สึกยังไงกับอำนาจในการสร้างของพระยะโฮวา?
21 เมื่อวันหยุดพักของพระยะโฮวาสิ้นสุดลง ในตอนนั้นพระองค์ก็จะพูดได้ว่างานทั้งหมดของพระองค์บนโลก “ดียอดเยี่ยม” เหมือนกับที่พระองค์บอกในตอนจบของวันที่ 6 แห่งการสร้าง (ปฐมกาล 1:31) เราไม่รู้ว่าพระองค์จะใช้อำนาจในการสร้างของพระองค์ยังไงในอนาคต แต่เรามั่นใจได้ว่าเราจะประทับใจในวิธีที่พระองค์ใช้อำนาจในการสร้างของพระองค์เสมอ ตอนที่เรามีชีวิตตลอดไป เราก็จะได้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระยะโฮวาจากสิ่งที่พระองค์สร้าง (ปัญญาจารย์ 3:11) ยิ่งเราเรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์ เราก็จะนับถือและสนิทกับผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ของเรามากขึ้นด้วย
a เพื่อจะเข้าใจตัวเลขนี้มากขึ้น ขอให้ลองคิดดูว่า ถ้าคุณต้องขับรถในระยะทางที่ว่านี้ด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงวันละ 24 ชั่วโมง คุณจะต้องใช้เวลามากกว่า 100 ปี
b บางคนคิดว่าคนในสมัยคัมภีร์ไบเบิลต้องเคยใช้กล้องส่องดูดาวที่ทำแบบง่าย ๆ มีการอ้างเหตุผลว่า เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นพวกเขาคงไม่รู้จำนวนดวงดาวที่มีอยู่มากมาย ความคิดแบบนี้เป็นการมองข้ามความจริงที่ว่าพระยะโฮวาเป็นผู้แต่งคัมภีร์ไบเบิล—2 ทิโมธี 3:16
c ลองคิดดูสิว่าคุณจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการนับดาว 1 แสนล้านดวง ถ้าทุก 1 วินาทีคุณนับดาว 1 ดวง และนับแบบนี้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน คุณจะต้องใช้เวลาถึง 3,171 ปี