จงเลียนแบบความเชื่อของเขา
“แม่จะไปไหน, ฉันจะไปด้วย”
รูทเดินเคียงข้างนาอะมีไปตามถนนสายหนึ่งซึ่งตัดผ่านที่ราบสูงโมอาบที่มีลมพัดแรง. ตอนนี้มีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้น ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เดินอยู่กลางที่ราบอันกว้างใหญ่. ลองนึกภาพรูทสังเกตดูแดดยามบ่ายที่ทอดแสงยาวขึ้นทุกทีแล้วหันไปมองแม่สามีพร้อมกับนึกในใจว่าคงถึงเวลาต้องหาที่พักสำหรับคืนนี้แล้ว. เธอรักนาอะมีมากและยินดีทำทุกสิ่งที่เธอทำได้เพื่อดูแลแม่สามี.
หญิงทั้งสองต่างก็แบกความทุกข์ไว้เต็มอก. นาอะมีเป็นม่ายมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้นางกำลังโศกเศร้าเพราะเพิ่งสูญเสียลูกชายสองคนคือคิลโยนกับมาโลน. รูทเองก็เศร้าเสียใจไม่น้อยไปกว่ากันเพราะมาโลนเป็นสามีของเธอ. เธอกับนาอะมีกำลังมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน คือเมืองเบทเลเฮมในอิสราเอล. แต่ในแง่หนึ่ง การเดินทางของทั้งสองก็ต่างกัน. นาอะมีกำลังกลับบ้านของเธอ. แต่รูทกำลังเดินทางไปยังที่ที่เธอไม่รู้จัก โดยทิ้งญาติพี่น้อง บ้านเกิดเมืองนอน และธรรมเนียมประเพณีทุกอย่าง รวมทั้งพระทั้งหลายที่เธอเคยนับถือไว้เบื้องหลัง.—ประวัตินางรูธ 1:3-6
อะไรทำให้หญิงสาวคนหนึ่งยอมเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอมากขนาดนี้? รูทจะได้กำลังใจจากที่ไหนเพื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่และเอาใจใส่นาอะมี? ขณะที่เราหาคำตอบในเรื่องนี้ เราจะเห็นว่ามีหลายอย่างที่เราสามารถเลียนแบบความเชื่อของรูท หญิงชาวโมอาบผู้นี้ได้. ก่อนอื่น ให้เรามาดูว่าผู้หญิงสองคนนี้มาอยู่บนเส้นทางอันยาวไกลสู่เบทเลเฮมได้อย่างไร.
ครอบครัวแตกสลายเพราะโศกนาฏกรรม
รูทเติบโตขึ้นในโมอาบ ดินแดนเล็ก ๆ ที่อยู่ทางตะวันออกของทะเลเดดซี. พื้นที่แถบนั้นส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง มีป่าไม้ขึ้นอยู่ประปรายและมีหุบเหวลึก. “แผ่นดินโมอาบ” ดูเหมือนเป็นแหล่งเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์แม้แต่ตอนที่เกิดการกันดารอาหารในอิสราเอล. ที่จริง การกันดารอาหารในครั้งนั้นเองเป็นเหตุให้รูทได้พบกับมาโลนและครอบครัวของเขา.—ประวัตินางรูธ 1:1
การกันดารอาหารในอิสราเอลทำให้อะลีเมะเล็คสามีของนาอะมีคิดว่าเขาต้องพาภรรยาและลูกชายสองคนย้ายไปอาศัยอยู่ที่โมอาบในฐานะคนต่างถิ่น. การอพยพครั้งนี้เป็นการทดสอบความเชื่อของทุกคนในครอบครัว เพราะชาวอิสราเอลมีธรรมเนียมที่ต้องไปนมัสการพระเจ้าในสถานศักดิ์สิทธิ์ที่พระยะโฮวาทรงกำหนดไว้เป็นประจำ. (พระบัญญัติ 16:16, 17) แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี นาอะมีก็ยังรักษาความเชื่อของนางไว้ได้. แต่การตายของสามีก็ทำให้นางโศกเศร้าไม่น้อยทีเดียว.—ประวัตินางรูธ 1:2, 3
หลังจากนั้น นาอะมีคงมีเรื่องทุกข์ใจอีกเมื่อลูกชายสองคนของนางแต่งงานกับหญิงชาวโมอาบ. (ประวัตินางรูธ 1:4) นาอะมีรู้ว่าอับราฮามบรรพบุรุษของชาติอิสราเอลพยายามมากเพียงไรเพื่อให้ยิศฮาคลูกชายของท่านได้แต่งงานกับหญิงชาติเดียวกันซึ่งเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวา. (เยเนซิศ 24:3, 4) หลังจากสมัยของอับราฮาม พระบัญญัติที่พระเจ้าประทานผ่านทางโมเซก็เตือนชาวอิสราเอลว่าอย่าให้ลูกสาวหรือลูกชายแต่งงานกับชนต่างชาติ เพราะคนเหล่านั้นจะชักนำประชาชนของพระเจ้าให้หันไปไหว้รูปเคารพ.—พระบัญญัติ 7:3, 4a
ถึงอย่างไร มาโลนกับคิลโยนก็แต่งงานกับหญิงชาวโมอาบ. แม้นาอะมีอาจรู้สึกกังวลหรือผิดหวัง แต่นางคงพยายามแสดงความรักและความกรุณาอย่างจริงใจต่อรูทและอะระฟา ลูกสะใภ้ทั้งสอง. บางทีนางอาจหวังว่าสักวันหนึ่งทั้งสองคนจะเปลี่ยนมาเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวาเช่นเดียวกับนาง. ไม่ว่าจะอย่างไร ทั้งรูทและอะระฟาต่างก็รักนาอะมี. ความสัมพันธ์อันดีที่ทั้งสามมีต่อกันช่วยให้พวกเธอรับมือกับความโศกเศร้าได้. หญิงสาวทั้งสองกลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังไม่ทันมีลูกด้วยซ้ำ.—ประวัตินางรูธ 1:5
ภูมิหลังทางศาสนาของรูทช่วยเธอให้รับมือกับการสูญเสียครั้งนี้ไหม? ดูเหมือนว่าไม่เป็นเช่นนั้น. ชาวโมอาบนมัสการพระมากมายและเทพเจ้าองค์สำคัญที่สุดของพวกเขาคือพระคีโมศ. (อาฤธโม 21:29) ศาสนาของชาวโมอาบก็คงเหมือนกับศาสนาของชาติอื่น ๆ ในสมัยนั้นที่มักมีพิธีกรรมที่โหดร้ายทารุณและน่าสยดสยอง ซึ่งรวมถึงการบูชายัญเด็ก. สิ่งที่รูทได้เรียนรู้จากมาโลนหรือนาอะมีเกี่ยวกับพระยะโฮวา พระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้เปี่ยมด้วยความรักและความเมตตาคงต้องทำให้เธอเห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน. พระยะโฮวาทรงปกครองประชาชนของพระองค์ด้วยความรัก ไม่ใช่ทำให้หวาดกลัว! (พระบัญญัติ 6:5) หลังจากสูญเสียสามีผู้เป็นที่รัก รูทอาจรู้สึกใกล้ชิดกับนาอะมีมากขึ้น และเธอคงเต็มใจฟังเมื่อแม่สามีเล่าเรื่องพระยะโฮวาพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ใหญ่ยิ่งรวมทั้งการอัศจรรย์ที่พระองค์ได้ทำ ตลอดจนความรักความกรุณาที่พระองค์แสดงต่อประชาชนของพระองค์.
นาอะมีเองก็อยากรู้ข่าวคราวเกี่ยวกับบ้านเกิดของนาง. วันหนึ่งนางได้ยินข่าวจากพวกพ่อค้าเดินทางว่าการกันดารอาหารในอิสราเอลสิ้นสุดลงแล้ว. พระยะโฮวาทรงหันมาใฝ่พระทัยประชาชนของพระองค์อีกครั้ง. เบทเลเฮมกลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์สมกับชื่อเมืองที่มีความหมายว่า “บ้านขนมปัง.” นาอะมีจึงตัดสินใจจะกลับบ้าน.—ประวัตินางรูธ 1:6
รูทกับอะระฟาจะทำอย่างไร? (ประวัตินางรูธ 1:7) ตอนนี้พวกเธอรู้สึกผูกพันและใกล้ชิดกับนาอะมีมากขึ้นเพราะทั้งสามต่างก็ผ่านเรื่องที่น่าเศร้ามาด้วยกัน. ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำให้รูทรักนาอะมีมากเป็นพิเศษคือความกรุณาของนาอะมีและความเชื่ออันมั่นคงที่นางมีต่อพระยะโฮวา. แล้วหญิงม่ายทั้งสามก็ออกเดินทางไปยังแผ่นดินยูดาห์ด้วยกัน.
เรื่องราวของรูทเตือนใจเราว่าโศกนาฏกรรมและการสูญเสียเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าคนดีหรือคนชั่ว. (ท่านผู้ประกาศ 9:2, 11) เรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าเมื่อเผชิญกับการสูญเสียที่ยากจะรับมือได้ เราควรมองหาการปลอบโยนและการชูใจจากคนอื่น โดยเฉพาะจากคนที่เชื่อและวางใจในพระยะโฮวา พระเจ้าที่นาอะมีนมัสการ.—สุภาษิต 17:17
ความรักภักดีของรูท
หลังจากหญิงม่ายทั้งสามออกเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง นาอะมีก็เริ่มวิตกกังวล. นางคิดถึงหญิงสาวสองคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ และความรักที่ทั้งสองมีต่อนางและลูกชาย. นางไม่อยากจะเพิ่มความทุกข์ให้กับลูกสะใภ้อีก. ถ้ารูทกับอะระฟาต้องทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่กับนางที่เบทเลเฮม นางจะดูแลหญิงสาวสองคนนี้ได้อย่างไร?
ในที่สุด นาอะมีก็พูดขึ้นว่า “ต่างคนต่างจงกลับไปยังเรือนมารดาของตนเถิด: ขอให้พระยะโฮวาทรงพระเมตตาแก่เจ้าทั้งสองเหมือนเจ้าได้กระทำต่อผู้ที่ตายเสียนั้น, และต่อแม่ด้วย.” นอกจากนี้ นางยังพูดถึงความหวังที่ว่าพระยะโฮวาจะอวยพรให้พวกเธอมีสามีใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่. บันทึกกล่าวว่า “แล้วนางนาอะมีได้จุบลูกสะใภ้ทั้งสอง ๆ ก็ร้องไห้เสียงดัง.” เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมรูทและอะระฟาจึงรักหญิงชราที่มีจิตใจงดงามและไม่เห็นแก่ตัวผู้นี้. ทั้งคู่ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “อย่าเลย, เราทั้งสองจะกลับไปด้วยจนถึงบ้านเมืองของแม่.”—ประวัตินางรูธ 1:8-10
แต่นาอะมีไม่ยอม. นางให้เหตุผลอย่างหนักแน่นว่าเมื่อไปถึงอิสราเอลแล้วนางคงช่วยอะไรพวกเธอไม่ได้ เพราะนางไม่มีสามีคอยหาเลี้ยง ไม่มีลูกชายที่จะยกให้เป็นสามีของเธอทั้งสอง และไม่มีความหวังที่จะมีสามีหรือลูกอีกด้วย. นาอะมีบอกลูกสะใภ้ว่านางรู้สึกขมขื่นและทุกข์ใจที่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อพวกเธอได้เลย.—ประวัตินางรูธ 1:11-13
สำหรับอะระฟาแล้ว เธอเห็นด้วยกับคำพูดของนาอะมีทุกประการ. เธอยังมีครอบครัวอยู่ที่โมอาบ มีแม่และมีบ้านอยู่ที่นั่น. การกลับไปโมอาบคงจะดีที่สุดสำหรับเธอ. ดังนั้น อะระฟาจึงจูบลานาอะมีทั้งน้ำตาและจำใจเดินจากไป.—ประวัตินางรูธ 1:14
แล้วรูทล่ะ? เธอทำตามคำแนะนำของนาอะมีไหม? เราอ่านว่า “รูธนั้นยังอยู่กับแม่ผัว.” บางทีนาอะมีอาจเดินทางต่อไป แต่แล้วก็สังเกตว่ารูทเดินตามมาห่าง ๆ. นางขอร้องให้รูทกลับไปโดยพูดว่า “ดูเถิด, พี่สาวก็กลับไปหาญาติพี่น้อง, และพระของเขาแล้ว: จงตามพี่สาวไปเถิด.” (ประวัตินางรูธ 1:15) คำพูดของนาอะมีคงทำให้ผู้อ่านเห็นรายละเอียดที่สำคัญอย่างหนึ่ง. อะระฟาไม่ได้กลับไปหาชนร่วมชาติเท่านั้น แต่กลับไปหา ‘พระของเธอ’ ด้วย. เธอพอใจที่จะกลับไปเป็นผู้นมัสการพระคีโมศและพระเท็จอื่น ๆ. แล้วรูทคิดอย่างไร?
เมื่อมองดูนาอะมีขณะเดินไปตามถนนที่ร้างผู้คน รูทก็รู้แน่แก่ใจว่าเธอรักนาอะมีด้วยใจจริง และเธอก็รักพระเจ้าที่นาอะมีนมัสการด้วย. รูทจึงพูดขึ้นว่า “ขออย่าสั่งให้ฉันละทิ้ง, หรือกลับจากติดตามแม่เลย: ด้วยว่าแม่จะไปไหน, ฉันจะไปด้วย; แม่จะอาศัยอยู่ที่ไหน, ฉันจะอาศัยอยู่ที่นั้นด้วย: ญาติพี่น้องของแม่, จะเป็นญาติพี่น้องของฉัน, และพระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของฉันด้วย: แม่สิ้นชีพที่ไหน, ฉันจะสิ้นชีพที่นั้น, แล้วจะฝังอยู่ที่นั้น: ขอพระยะโฮวาทรงกระทำดังนี้แก่ฉัน, และยิ่งกว่านี้อีก, ความมรณะสิ่งเดียวที่จะทำให้แม่กับฉันขาดจากกันและกันได้.”—ประวัตินางรูธ 1:16, 17
คำพูดของรูทลึกซึ้งกินใจมากจริง ๆ เพราะแม้ว่าเธอจะจากโลกนี้ไปนานถึง 3,000 ปีแล้วผู้คนก็ยังไม่ลืมถ้อยคำเหล่านั้น. คำพูดของเธอสะท้อนให้เห็นคุณลักษณะที่ล้ำค่าอย่างหนึ่งนั่นคือ ความรักภักดี. ความรักและความภักดีสุดหัวใจที่รูทมีต่อนาอะมีทำให้รูทอยากติดตามนาอะมีไปทุกที่ ไม่ว่านางจะไปที่ไหน. ความตายเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะพรากเธอจากนาอะมีได้. ชนร่วมชาติของนาอะมีจะเป็นชนร่วมชาติของรูทด้วย เพราะเธอพร้อมจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอรู้จักในโมอาบไว้เบื้องหลัง แม้แต่พระทั้งหลายที่เธอเคยนมัสการ. ไม่เหมือนอะระฟา รูทสามารถพูดได้ด้วยความรู้สึกจากหัวใจว่าเธอต้องการให้พระยะโฮวา พระเจ้าของนาอะมีเป็นพระเจ้าของเธอด้วย.b
แล้วพวกเธอซึ่งตอนนี้เหลือกันอยู่เพียงสองคนก็เดินทางต่อไปบนถนนที่ทอดยาวสู่เบทเลเฮม. หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งกะประมาณว่าการเดินทางครั้งนี้อาจต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งสัปดาห์. การมีเพื่อนร่วมเดินทางคงช่วยให้ทั้งคู่คลายความทุกข์โศกไปได้บ้าง.
ผู้คนมากมายในโลกทุกวันนี้ประสบกับความทุกข์โศกเศร้า. ในสมัยของเราที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า “วิกฤตกาลซึ่งยากจะรับมือได้” เราต้องเผชิญการสูญเสียและความโศกเศร้าสารพัดรูปแบบ. (2 ติโมเธียว 3:1) ดังนั้น คุณลักษณะที่เราพบในตัวรูทจึงนับว่าสำคัญยิ่งกว่าสมัยใด. ความรักภักดี ซึ่งเป็นความรักที่มั่นคงและไม่เสื่อมคลายง่าย ๆ เป็นพลังที่มีอานุภาพซึ่งช่วยให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกที่มืดมนนี้ได้. เราต้องมีความรักเช่นนี้ในสายสมรส เราต้องมีความรักเช่นนี้ในครอบครัว เราต้องมีความรักเช่นนี้ในหมู่เพื่อน และเราต้องมีความรักเช่นนี้ในประชาคมคริสเตียน. ขณะที่เราปลูกฝังความรักภักดีนี้ เราก็กำลังเลียนแบบตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของรูท.
รูทกับนาอะมีในเบทเลเฮม
แน่ละ การพูดว่ามีความรักภักดีแตกต่างกันมากกับการพิสูจน์ความรักนั้นด้วยการกระทำ. นับจากนี้ไป ไม่เพียงแต่รูทจะมีโอกาสได้แสดงความรักภักดีต่อนาอะมีเท่านั้น แต่เธอจะได้พิสูจน์ความรักภักดีต่อพระยะโฮวาพระเจ้าที่เธอเลือกนมัสการด้วย.
ในที่สุด ผู้หญิงทั้งสองก็มาถึงหมู่บ้านเบทเลเฮมซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเลมไปทางใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร. ดูเหมือนว่านาอะมีและครอบครัวของนางเคยเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองนี้ เพราะทันทีที่นาอะมีมาถึงใคร ๆ ก็พากันโจษจันเรื่องของนาง. พวกผู้หญิงในหมู่บ้านคงจ้องมองนางแล้วพูดกันว่า “นี่เป็นนางนาอะมีหรือ?” ดูเหมือนว่า การย้ายไปอยู่ที่โมอาบทำให้นางเปลี่ยนไปมาก. หน้าตาและรูปลักษณ์ของนาอะมีคงบ่งบอกว่าชีวิตของนางตลอดหลายปีนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากและความทุกข์.—ประวัตินางรูธ 1:19
นาอะมีเล่าให้ผู้หญิงที่เป็นญาติและคนที่เคยเป็นเพื่อนบ้านฟังว่านางมีชีวิตที่ยากลำบากเพียงไร. นางถึงกับรู้สึกว่าอยากเปลี่ยนชื่อจากนาอะมีที่แปลว่า “ความสุขของฉัน” เป็นมารา ซึ่งแปลว่า “ขม.” นาอะมีผู้น่าสงสาร! เช่นเดียวกับโยบซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนหน้านั้น นาอะมีคิดว่าพระยะโฮวาพระเจ้าเป็นผู้บันดาลให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นกับนาง.—ประวัตินางรูธ 1:20, 21; โยบ 2:10; 13:24-26
ขณะที่หญิงทั้งสองเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเบทเลเฮม รูทเริ่มคิดว่าเธอจะทำอย่างไรจึงจะเลี้ยงดูตัวเองและนาอะมีได้ดีที่สุด. เธอรู้ว่าพระบัญญัติที่พระยะโฮวาประทานแก่ประชาชนของพระองค์ในอิสราเอล มีกฎหมายข้อหนึ่งเกี่ยวกับการจัดเตรียมด้วยความรักสำหรับคนยากจน. ตามกฎหมายนั้น คนยากจนได้รับอนุญาตให้เข้าไปในนาข้าวช่วงฤดูเกี่ยว. พวกเขาจะเดินตามผู้เกี่ยวแล้วคอยเก็บรวงข้าวที่เหลืออยู่รวมทั้งข้าวที่ขึ้นริมคันนาด้วย.c—เลวีติโก 19:9, 10; พระบัญญัติ 24:19-21
ตอนนั้นเป็นฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์ราว ๆ เดือนเมษายนตามปฏิทินในปัจจุบัน. รูทเดินไปตามนาข้าวเพื่อดูว่าใครจะอนุญาตให้เธอเก็บข้าวตกในนาของเขาได้บ้าง. เธอบังเอิญเดินเข้าไปในนาข้าวของชายคนหนึ่งชื่อโบอัศ เจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งและเป็นญาติกับอะลีเมะเล็ค สามีที่เสียชีวิตไปแล้วของนาอะมี. แม้ว่าตามกฎหมายเธอมีสิทธิ์เข้าไปเก็บข้าวในนาได้ แต่เธอก็ไม่ได้ทำโดยพลการ. รูทขออนุญาตชายหนุ่มที่ดูแลการเกี่ยวข้าวก่อน. เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว เธอจึงเข้าไปเก็บข้าวในนานั้น.—ประวัตินางรูธ 1:22–2:3, 7
ลองนึกภาพรูทกำลังเดินตามคนเกี่ยวข้าว. หลังจากที่พวกเขาใช้เคียวเหล็กตัดต้นข้าว เธอจะก้มลงเก็บรวงข้าวที่ตกหรือที่เหลืออยู่ จากนั้นก็มัดเป็นฟ่อนแล้วเอาไปวางไว้ในที่ที่เธอจะใช้เป็นลานนวดข้าวในภายหลัง. นี่เป็นงานที่ทำได้ช้าแถมยังเหน็ดเหนื่อย และยิ่งสายก็ยิ่งเหนื่อยล้ามากขึ้น. แต่รูทก็ก้มหน้าก้มตาทำต่อไป เธอจะหยุดมือก็เพียงเพื่อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากและเมื่อพักกินอาหารเที่ยงง่าย ๆ ที่ “เรือน” หรือเพิงที่สร้างไว้ให้คนงานเข้าไปพักหลบแดด.
รูทคงไม่คิดหรือคาดหวังว่าจะมีใครมองอยู่ แต่ก็มีคนหนึ่งที่เห็นเธอ. โบอัศสังเกตเห็นรูทจึงถามคนงานของเขาว่าเธอเป็นใคร. โบอัศเป็นคนที่มีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง เขาทักทายพวกคนงานที่ทำงานในนาของเขา ทั้งคนงานรับจ้างรายวันและแม้แต่คนงานต่างชาติด้วยซ้ำ. เขาพูดว่า “ขอให้พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด.” แล้วพวกเขาก็ตอบกลับมาแบบเดียวกัน. ชายสูงวัยที่เลื่อมใสพระเจ้าผู้นี้คงเอ็นดูรูทเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่ง.—ประวัตินางรูธ 2:4-7
โบอัศเรียกรูทว่า “ลูก” และบอกเธอว่าต่อไปนี้ให้มาเก็บรวงข้าวในนาของเขาและทำงานอยู่ใกล้ ๆ สาวใช้ของเขาเพื่อคนงานหนุ่ม ๆ จะไม่มาเกาะแกะรังแกเธอ. เมื่อถึงเวลาเที่ยง โบอัศก็เรียกเธอมากินอาหาร. นอกจากความกรุณาทั้งหมดนี้แล้ว เขายังชมเชยและให้กำลังใจเธอด้วย. อย่างไรล่ะ?—ประวัตินางรูธ 2:8, 9, 14
รูทถามโบอัศว่าหญิงต่างชาติอย่างเธอได้ทำอะไรให้เขาชื่นชอบหรือ เขาจึงได้แสดงความกรุณาต่อเธอมากถึงเพียงนี้. โบอัศตอบว่าเขาได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเธอและรู้ว่าเธอได้ทำอะไรบ้างเพื่อนาอะมีแม่ของสามี. อาจเป็นได้ว่านาอะมีได้ชมเชยลูกสะใภ้ที่รักของนางให้พวกผู้หญิงในเบทเลเฮมฟัง และเรื่องนี้รู้ไปถึงหูโบอัศ. นอกจากนี้ โบอัศยังรู้ด้วยว่ารูทได้เปลี่ยนมาเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวา เพราะเขาพูดว่า “ขอให้พระยะโฮวาเจ้าทรงตอบแทนแก่เจ้า, และให้เจ้ามีบำเหน็จอันเต็มบริบูรณ์แต่พระยะโฮวาพระเจ้าแห่งยิศราเอลเถิด, ซึ่งเจ้าได้มาพึ่งพระบารมีของพระองค์.”—ประวัตินางรูธ 2:12
คำพูดของโบอัศคงทำให้รูทมีกำลังใจมากทีเดียว! เธอได้ตัดสินใจเข้ามาอยู่ใต้ร่มปีกของพระยะโฮวาพระเจ้าแล้วจริง ๆ เหมือนกับลูกนกที่ซุกอยู่ใต้ปีกพ่อแม่เพื่อจะได้รับการปกป้องคุ้มครอง. รูทขอบคุณโบอัศที่ให้กำลังใจเธอด้วยถ้อยคำที่ทำให้อบอุ่นใจเช่นนี้. แล้วเธอก็ทำงานต่อไปจนถึงเวลาเย็น.—ประวัตินางรูธ 2:13, 17
การกระทำด้วยความเชื่อของรูทเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมสำหรับเราทุกคนที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับปัญหาทางเศรษฐกิจในทุกวันนี้. รูทไม่ได้คิดว่าคนอื่นจะต้องให้อะไรเธอ ดังนั้น เธอจึงรู้สึกขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ได้รับ. เธอไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ต้องทำงานหนักทั้งวันเพื่อเลี้ยงดูคนที่เธอรัก แม้ว่างานนั้นอาจดูต่ำต้อย. เมื่อได้รับคำแนะนำที่สุขุมเกี่ยวกับการทำงานอย่างปลอดภัยและการคบหาสมาคมที่ดี รูทก็เต็มใจรับฟังและพร้อมจะทำตามคำแนะนำนั้นทันที. เหนือสิ่งอื่นใด เธอไม่เคยลืมว่าแหล่งพักพิงที่ให้การปกป้องอย่างแท้จริงสำหรับเธอคือพระยะโฮวาพระเจ้า พระบิดาของเธอ.
ถ้าเราแสดงความรักภักดีเช่นเดียวกับรูทและทำตามตัวอย่างของเธอในเรื่องความถ่อมใจ ความขยันขันแข็ง และการสำนึกบุญคุณ เราจะมีความเชื่อที่เข้มแข็งและเป็นแบบอย่างแก่คนอื่น ๆ ได้. แต่พระยะโฮวาทรงดูแลรูทและนาอะมีอย่างไร? เราจะพิจารณาเรื่องนี้ในโอกาสต่อไป.
[เชิงอรรถ]
a ดูบทความ “ผู้อ่านอยากรู้—ทำไมพระเจ้าทรงบัญชาให้ผู้นมัสการพระองค์แต่งงานกับคนที่มีความเชื่อเหมือนกันเท่านั้น?” ในหน้า 29.
b น่าสังเกต รูธไม่เพียงแต่ใช้คำว่า “พระเจ้า“ ซึ่งเป็นคำระบุตำแหน่งที่ชนต่างชาติส่วนใหญ่มักใช้กัน แต่เธอยังใช้พระนามเฉพาะของพระเจ้าด้วยคือ ยะโฮวา. หนังสือคัมภีร์ไบเบิลของผู้แปล (ภาษาอังกฤษ) ให้ความเห็นว่า “ผู้เขียนกำลังเน้นว่าหญิงต่างชาติคนนี้เป็นผู้นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้.”
c นี่เป็นกฎหมายที่ยอดเยี่ยมซึ่งต่างจากกฎหมายใด ๆ ที่รูทเคยรู้จักในบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ. ในสมัยนั้นหญิงม่ายในแถบตะวันออกใกล้ถูกปฏิบัติอย่างเลวร้าย. หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งกล่าวว่า “หลังจากที่สามีตาย โดยปกติแล้วหญิงม่ายต้องพึ่งพาอาศัยลูกชายให้เลี้ยงดู แต่ถ้าไม่มีลูกชาย เธออาจต้องขายตัวเองเป็นทาส ยอมเป็นโสเภณี หรือไม่ก็ตาย.”
[กรอบหน้า 26]
หนังสือเล่มเล็กที่ทรงคุณค่า
หนังสือประวัตินางรูธถูกเรียกว่าอัญมณีเม็ดเล็กที่งดงาม หรือหนังสือเล่มเล็กที่ทรงคุณค่า. จริงอยู่ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ให้ข้อมูลหรือเล่าเรื่องราวมากมายเหมือนกับหนังสือวินิจฉัยซึ่งอยู่ก่อนหน้านั้น แต่เมื่ออ่านหนังสือวินิจฉัยก็ช่วยให้รู้ว่าเรื่องราวในหนังสือประวัตินางรูธเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด. (ประวัตินางรูธ 1:1) ดูเหมือนว่าหนังสือทั้งสองเล่มเขียนโดยผู้พยากรณ์ซามูเอล. แต่ถ้าคุณอ่านคัมภีร์ไบเบิลตลอดทั้งเล่ม คุณคงเห็นด้วยว่าหนังสือประวัตินางรูธถูกจัดไว้ในลำดับที่เหมาะสมแล้วในสารบบของคัมภีร์ไบเบิล. หลังจากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสงคราม การโจมตี และความขัดแย้งที่บันทึกในหนังสือผู้วินิจฉัย คุณก็มาถึงหนังสือเล่มเล็กที่เตือนใจให้รู้ว่าพระยะโฮวาไม่เคยมองข้ามความทุกข์ยากที่ประชาชนผู้รักสันติต้องเผชิญในแต่ละวัน. ฉากเหตุการณ์ธรรมดา ๆ ในชีวิตประจำวันจากหนังสือเล่มนี้ให้บทเรียนที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความรัก การสูญเสีย ความเชื่อ และความภักดีซึ่งเป็นประโยชน์แก่เราทุกคน.
[ภาพหน้า 24]
การที่รูทใกล้ชิดกับนาอะมีในยามที่ประสบความทุกข์และการสูญเสียเป็นเรื่องฉลาดสุขุม
[ภาพหน้า 24, 25]
“ญาติพี่น้องของแม่, จะเป็นญาติพี่น้องของฉัน, และพระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของฉัน”
[ภาพหน้า 27]
รูทเต็มใจทำงานหนักและต่ำต้อยเพื่อเลี้ยงดูตัวเองและนาอะมี