บทห้า
“หญิงชื่อเสียงดี”
1, 2. (ก) งานที่รูททำมีลักษณะอย่างไร? (ข) รูทเรียนรู้แง่มุมที่ดีอะไรจากพระบัญญัติของพระเจ้าและประชาชนของพระองค์?
รูทคุกเข่าลงข้างกองข้าวบาร์เลย์ที่เธอเก็บรวบรวมมาตลอดวัน. ตอนนี้ทุ่งนารอบเมืองเบทเลเฮมเริ่มมืดแล้ว และคนงานหลายคนพากันเดินไปที่ประตูเมืองซึ่งอยู่บนสันเขาใกล้กับทุ่งนานี้. รูทคงปวดเมื่อยไปทั้งตัวเพราะเธอทำงานหนักตั้งแต่เช้าโดยแทบไม่ได้หยุดพักเลย. ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป. เธอใช้ท่อนไม้เล็ก ๆ ฟาดต้นข้าวที่เก็บมาเพื่อให้เมล็ดหลุดจากรวง. แม้จะเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยมาก แต่ก็เป็นวันที่ดีสำหรับรูทเพราะเธอคงไม่คาดคิดว่าจะเก็บข้าวได้มากอย่างนี้.
2 ตอนนี้ชีวิตของม่ายสาวที่ยากไร้เริ่มดีขึ้นแล้วไหม? ดังที่เราได้เห็นในบทก่อน เธอตัดสินใจติดตามนาอะมีแม่สามีมาที่นี่ โดยสาบานว่าจะอยู่กับนางตลอดไปและยอมรับนับถือพระยะโฮวาพระเจ้าของนาอะมีเป็นพระเจ้าของเธอ. ผู้หญิงสองคนที่เพิ่งสูญเสียผู้เป็นที่รักดั้นด้นเดินทางจากโมอาบมาที่เบทเลเฮม และหลังจากมาถึงได้ไม่นานรูทหญิงชาวโมอาบก็ได้เรียนรู้ว่าพระบัญญัติของพระยะโฮวามีการจัดเตรียมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์และคำนึงถึงศักดิ์ศรีของคนจนในอิสราเอล รวมทั้งคนต่างชาติด้วย. และตอนนี้เธอยังเห็นอีกว่าประชาชนของพระยะโฮวาที่อยู่ใต้พระบัญญัติได้เรียนรู้และปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านั้นและแสดงความกรุณาต่อเธอ ซึ่งเป็นการเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอ.
3, 4. (ก) รูทได้กำลังใจจากโบอัศอย่างไร? (ข) ตัวอย่างของรูทจะช่วยเราให้รับมือกับเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองในทุกวันนี้ได้อย่างไร?
3 หนึ่งในนั้นคือโบอัศ ชายสูงอายุผู้มั่งคั่งซึ่งเป็นเจ้าของนาที่เธอเก็บข้าว. เขาแสดงความเมตตาต่อเธอเหมือนบิดา. เธออดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงคำพูดที่กรุณาของเขาซึ่งชมเชยเธอที่ได้ดูแลนาอะมีผู้ชราและเลือกที่จะมาอยู่ใต้การปกป้องของพระยะโฮวา พระเจ้าองค์เที่ยงแท้.—อ่านประวัตินางรูธ 2:11-14
4 แต่รูทคงนึกสงสัยว่าชีวิตเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป. ชาวต่างชาติที่ยากไร้อย่างเธอซึ่งไม่มีทั้งสามีและลูกจะหาเลี้ยงตัวเองกับนาอะมีได้อีกนานแค่ไหน? แค่เก็บข้าวตกในนาเพียงอย่างเดียวจะพอเลี้ยงตัวไหม? ใครจะดูแลเธอ ยามแก่ชรา? ถ้ารูทจะรู้สึกหนักใจกับเรื่องเหล่านี้คงไม่แปลก. ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองนี้ หลายคนก็มีความวิตกกังวลคล้าย ๆ กัน. เมื่อเราเรียนรู้ว่าความเชื่อของรูทช่วยให้เธอฝ่าฟันปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร เราจะเห็นว่ามีหลายสิ่งที่เราอาจเลียนแบบเธอได้.
แบบไหนที่เรียกว่าครอบครัว?
5, 6. (ก) วันแรกที่รูทไปเก็บข้าวที่นาของโบอัศ เธอเก็บได้มากขนาดไหน? (ข) นาอะมีรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นรูทกลับมาถึงบ้าน?
5 หลังจากนวดข้าวและรวบรวมเมล็ดข้าวทั้งหมดแล้ว รูทก็เห็นว่าวันนี้เธอเก็บข้าวบาร์เลย์ได้มากถึงหนึ่งถังเต็ม ๆ หรือประมาณ 20 ลิตร. ข้าวทั้งหมดนี้อาจหนักราว ๆ 14 กิโลกรัม! เธอโกยข้าวใส่ห่อผ้าแล้วยกขึ้นเทินศีรษะ จากนั้นก็เดินกลับบ้านที่เบทเลเฮมขณะที่ฟ้าเริ่มมืด.—รูธ. 2:17, ล.ม.
6 นาอะมีดีใจเมื่อเห็นลูกสะใภ้ที่เธอรักกลับมาถึงบ้าน. นางคงแปลกใจจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นข้าวบาร์เลย์ห่อใหญ่ที่รูทแบกมา. รูทยังนำอาหารที่เหลือจากมื้อเที่ยงซึ่งโบอัศจัดไว้สำหรับคนงานกลับมาด้วย และทั้งสองก็เอาอาหารนั้นมาแบ่งกันกิน. นาอะมีถามรูทว่า “เจ้าเก็บรวงข้าวได้ที่ไหน? และทำการที่ไหนวันนี้? ขอให้ผู้ที่เอื้อเฟื้อต่อเจ้าได้รับพรเถิด.” (รูธ. 2:19) นาอะมีเป็นคนช่างสังเกต. เมื่อเห็นข้าวที่รูทแบกมา นางก็รู้ว่าต้องมีใครสักคนที่สังเกตและแสดงความเอื้อเฟื้อต่อรูท.
7, 8. (ก) นาอะมีคิดว่าความมีน้ำใจของโบอัศมาจากใคร และเพราะเหตุใด? (ข) รูทแสดงความรักภักดีต่อนาอะมีโดยวิธีใดอีก?
7 หญิงทั้งสองพูดคุยกันและรูทเล่าให้นาอะมีฟังว่าโบอัศเมตตาเธอมากเพียงไร. นาอะมีรู้สึกตื้นตันใจจึงพูดออกไปว่า “ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่ผู้นั้น, พระองค์มิได้ให้ความเมตตาของพระองค์ขาดจากผู้ที่มีชีวิตอยู่หรือผู้ที่ตายแล้ว.” (รูธ. 2:20) นางคิดว่าความมีน้ำใจของโบอัศนี้มาจากพระยะโฮวา ผู้ที่กระตุ้นประชาชนของพระองค์ให้เป็นคนใจกว้างและทรงสัญญาว่าจะประทานรางวัลแก่ทุกคนที่แสดงความกรุณาต่อผู้อื่น.a—อ่านสุภาษิต 19:17
8 นาอะมีบอกรูทให้ทำตามคำแนะนำของโบอัศที่ให้เธอมาเก็บรวงข้าวใกล้สาวใช้ของเขาเพื่อคนงานหนุ่ม ๆ จะไม่มาเกาะแกะรังแกเธอ. รูทเชื่อฟังนาอะมีและยัง “อาศัยอยู่กับแม่ผัว” ต่อไป. (รูธ. 2:22, 23) อีกครั้งหนึ่งที่เราได้เห็นคุณลักษณะเด่นของรูท คือความรักภักดี. ตัวอย่างของเธอทำให้เราต้องถามตัวเองว่า เราเห็นค่าความรักความผูกพันภายในครอบครัวและสนับสนุนผู้ที่เรารักด้วยความภักดีพร้อมทั้งช่วยเหลือพวกเขาไหม. พระยะโฮวาจะมองเห็นคนที่มีความรักภักดีเช่นนั้นอย่างแน่นอน.
ตัวอย่างของรูทกับนาอะมีเตือนใจเราว่า เราควรเห็นค่าครอบครัวแม้จะมีเพียงไม่กี่คน
9. เราเรียนอะไรได้จากรูทกับนาอะมีในเรื่องครอบครัว?
9 แต่รูทกับนาอะมีจะเรียกว่าเป็นครอบครัวได้จริง ๆ หรือ? บางวัฒนธรรมถือว่าครอบครัวที่ “สมบูรณ์” จะต้องมีสมาชิกครบทั้งสามี ภรรยา ลูกชาย ลูกสาว ปู่ย่าตายาย และคนอื่น ๆ. แต่ตัวอย่างของรูทกับนาอะมีเตือนใจเราว่าถ้าผู้รับใช้ของพระยะโฮวาเปิดใจให้กว้าง และแม้ว่าจะมีกันไม่กี่คนก็เป็นครอบครัวที่อบอุ่น เปี่ยมด้วยความรักและความกรุณาได้. คุณเห็นค่าครอบครัวของคุณไหม? พระเยซูบอกเหล่าสาวกว่าประชาคมคริสเตียนอาจเป็นเหมือนครอบครัวของเรา.—มโก. 10:29, 30
“ผู้นั้น . . . จะไถ่เราออกได้”
10. นาอะมีอยากทำอะไรเพื่อช่วยรูท?
10 รูทเก็บข้าวตกในนาของโบอัศตั้งแต่ฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์ในเดือนเมษายนไปจนถึงฤดูเกี่ยวข้าวสาลีในเดือนมิถุนายน. ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านไป นาอะมีคงคิดถึงสิ่งที่นางอาจทำได้เพื่อช่วยลูกสะใภ้ที่รักของนาง. ตอนอยู่โมอาบ นาอะมีคิดว่านางคงไม่มีทางช่วยรูทให้หาสามีใหม่ได้. (รูธ. 1:11-13) แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนความคิดแล้ว. นาอะมีพูดกับรูทว่า “ลูกเอ๋ย, แม่จะหาที่พึ่งพักสำหรับเจ้า . . . มิควรหรือ?” (รูธ. 3:1) ในสมัยนั้นเป็นธรรมเนียมที่พ่อแม่จะหาคู่ให้ลูก และตอนนี้รูทก็เป็นเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของนาอะมีแล้ว. นางอยากหา “ที่พึ่งพัก” สำหรับรูทซึ่งหมายถึงบ้านที่มั่นคงปลอดภัยและสามีที่อาจเลี้ยงดูเธอได้. แต่นาอะมีจะทำอย่างไร?
11, 12. (ก) เมื่อนาอะมีบอกว่าโบอัศเป็นคนหนึ่งที่ “ไถ่” พวกนางได้ นางกำลังคิดถึงการจัดเตรียมที่เปี่ยมด้วยความรักอะไรซึ่งมีบอกไว้ในพระบัญญัติของพระเจ้า? (ข) รูทตอบนาอะมีอย่างไร?
11 ตอนที่รูทเล่าเรื่องโบอัศให้นาอะมีฟังครั้งแรก นาอะมีพูดว่า “ผู้นั้นเป็นพี่น้องอันชิดสนิทกับเราในหมู่ญาติซึ่งอาจจะไถ่เราออกได้.” (รูธ. 2:20) นางหมายความว่าอย่างไร? พระบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่ชาติอิสราเอลมีการจัดเตรียมที่เปี่ยมด้วยความรักสำหรับครอบครัวที่อาจทุกข์ลำบากเพราะความขัดสนหรือเพราะสูญเสียคนที่ตนรัก. ผู้หญิงที่กลายเป็นม่ายโดยไม่มีบุตรคงต้องเป็นทุกข์มากจริง ๆ เพราะชื่อของสามีจะถูกตัดออกจากวงศ์ตระกูลเนื่องจากไม่มีผู้สืบสกุล. อย่างไรก็ตาม พระบัญญัติของพระเจ้ายอมให้พี่ชายหรือน้องชายของผู้ตายแต่งงานกับภรรยาม่ายของเขา เพื่อเธอจะให้กำเนิดบุตรซึ่งจะสืบสกุลของผู้ตายและรักษามรดกของครอบครัวไว้.b—บัญ. 25:5-7
12 นาอะมีบอกให้รูทรู้คร่าว ๆ ว่านางมีแผนการอะไร. รูทคงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจขณะที่ฟังแม่สามีพูด. กฎหมายและธรรมเนียมหลายอย่างของชาวอิสราเอลคงเป็นเรื่องใหม่สำหรับรูท. ถึงกระนั้น เธอก็ตั้งใจฟังคำพูดทุกคำของนาอะมีเพราะเธอเคารพนับถือนางมาก. สิ่งที่นาอะมีบอกอาจฟังดูเป็นเรื่องน่าอายหรือทำให้กระอักกระอ่วนใจ และอาจถึงกับทำให้เธอเสื่อมเสียเกียรติด้วยซ้ำ. แต่รูทก็เชื่อฟัง เธอพูดอย่างถ่อมใจว่า “สิ่งสารพัตรที่แม่บอกฉัน ๆ จะกระทำทั้งสิ้น.”—รูธ. 3:5
13. เราได้บทเรียนอะไรจากรูทในเรื่องการทำตามคำแนะนำของผู้ใหญ่? (ดูโยบ 12:12 ด้วย)
13 บางครั้งเป็นเรื่องยากที่คนหนุ่มสาวจะรับฟังคำแนะนำของผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า. คนหนุ่มสาวมักคิดว่าผู้ใหญ่ไม่เข้าใจปัญหาของตนอย่างแท้จริง. แต่ตัวอย่างความถ่อมใจของรูทสอนเราว่าการรับฟังคำแนะนำที่ฉลาดสุขุมของผู้ใหญ่ที่รักและคำนึงถึงผลประโยชน์ของเราอาจก่อผลดีอย่างมาก. (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 71:17, 18 ) นาอะมีบอกให้รูททำอะไร และเธอได้รับผลดีจริง ๆ ไหมเมื่อทำตามคำแนะนำนั้น?
รูทไปที่ลานนวดข้าว
14. ลานนวดข้าวเป็นแบบไหน และมีการใช้ลานนี้เพื่ออะไร?
14 เย็นวันนั้น รูทไปที่ลานนวดข้าวซึ่งเป็นพื้นดินราบที่ถูกถมจนแน่น. ชาวนาส่วนใหญ่จะเอาฟ่อนข้าวที่เก็บได้ไปที่ลานแห่งนี้เพื่อนวดและฝัดร่อน. ลานนวดข้าวมักอยู่บนไหล่เขาหรือยอดเขาซึ่งจะมีลมพัดแรงในช่วงบ่ายและเย็น. ชาวนาจะแยกเมล็ดข้าวออกจากแกลบและฟางโดยใช้ไม้ง่ามหรือพลั่วตักฟ่อนข้าวที่นวดแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ. เมล็ดข้าวที่หนักกว่าจะตกลงบนพื้นดิน ส่วนแกลบที่เบากว่าจะปลิวไปตามลม.
15, 16. (ก) จงพรรณนาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่ลานนวดข้าว. (ข) ทำไมโบอัศรู้ว่ารูทนอนอยู่ที่ปลายเท้าเขา?
15 รูทเฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ จนถึงเวลาเย็น. โบอัศยืนดูคนงานฝัดข้าวจนได้เมล็ดข้าวกองโต. หลังจากกินดื่มอย่างสำราญใจแล้ว เขาก็นอนลงข้างกองข้าวนั้น. เป็นเรื่องปกติที่ชาวนาในสมัยนั้นจะนอนเฝ้าข้าวเพื่อป้องกันขโมย. รูทรอจนโบอัศล้มตัวลงนอน. ถึงเวลาแล้วที่เธอจะทำตามแผนการของนาอะมี.
16 รูทใจเต้นแรงขณะที่ย่องเข้าไปใกล้เขา. เธอรู้ว่าตอนนี้เขาหลับสนิทแล้ว. ดังนั้น เธอจึงทำตามที่นาอะมีบอกโดยเปิดผ้าที่คลุมเท้าเขาออกแล้วนอนลงที่นั่น. รูทเฝ้ารอให้เวลาผ่านไป. สำหรับรูทแล้ว ช่วงเวลานั้นคงเนิ่นนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุด. ในที่สุดโบอัศก็สะดุ้งตื่นตอนราว ๆ เที่ยงคืน. เขาคงรู้สึกหนาวจึงจะเอาผ้ามาห่มเท้าไว้ตามเดิม. แต่แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ที่ปลายเท้า. พระคัมภีร์บันทึกว่า “มีหญิงนอนอยู่ที่เท้า.”—รูธ. 3:8
17. คนที่คิดว่าการกระทำของรูทเป็นการเชิญชวนให้มีเพศสัมพันธ์กับเธอ มองข้ามข้อเท็จจริงสองประการอะไร?
17 โบอัศถามว่า “เจ้าคือผู้ใด?” รูทคงตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ฉันคือรูธทาสีของท่าน, ขอขยายชายเสื้อท่านห่มทาสีของท่านด้วย; เพราะท่านเป็นญาติผู้มีหน้าที่จะไถ่ฉันออก.” (รูธ. 3:9) นักตีความพระคัมภีร์สมัยใหม่บางคนคิดว่าคำพูดและการกระทำของรูทอาจเป็นการเชิญชวนโบอัศให้มีเพศสัมพันธ์กับเธอ แต่นักตีความเหล่านี้มองข้ามข้อเท็จจริงสองประการ. ประการแรก รูททำตามธรรมเนียมของคนสมัยนั้น ซึ่งธรรมเนียมหลายอย่างอาจเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนสมัยนี้. ดังนั้น คงไม่ถูกนักหากจะตัดสินการกระทำของเธอโดยเทียบกับมาตรฐานทางศีลธรรมที่เสื่อมทรามของคนในยุคนี้. ประการที่สอง คำตอบของโบอัศแสดงให้เห็นชัดว่า ในสายตาเขารูทเป็นหญิงที่มีความประพฤติดีงามและน่าชมเชยอย่างยิ่ง.
18. โบอัศพูดอะไรเพื่อทำให้รูทสบายใจขึ้น และเขาอ้างถึงเหตุการณ์สองครั้งอะไรที่แสดงว่ารูทมีความรักภักดี?
18 โบอัศพูดกับรูทด้วยน้ำเสียงที่สุภาพอ่อนโยนซึ่งคงทำให้เธอสบายใจขึ้น. เขาพูดว่า “ลูกหญิงเอ๋ย, ขอให้พระยะโฮวาเจ้าทรงอวยพระพรแก่เจ้าด้วย, คุณของเจ้าครั้งหลังนี้ยิ่งกว่าครั้งก่อน, ด้วยเจ้ามิได้ไปหาคนหนุ่มที่ยากจน, หรือคนมั่งมี.” (รูธ. 3:10) คำว่า “ครั้งก่อน” หมายถึงตอนที่รูทแสดงความรักภักดีโดยติดตามนาอะมีกลับมาที่แผ่นดินอิสราเอลและคอยดูแลแม่สามีอย่างดี. คำว่า “ครั้งหลัง” หมายถึงสิ่งที่รูทกำลังทำอยู่นี้. โบอัศรู้ว่าผู้หญิงที่ยังสาวอย่างรูทอาจหาสามีที่หนุ่มกว่าตนได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะรวยหรือจน. อย่างไรก็ตาม รูทไม่เพียงต้องการทำดีกับนาอะมีเท่านั้น แต่กับสามีของนาอะมีที่ตายไปแล้วด้วย เพราะเธออยากช่วยรักษาชื่อของเขาให้คงอยู่ในแผ่นดินเกิดต่อไป. ไม่ยากเลยที่เราจะเข้าใจว่าทำไมโบอัศจึงประทับใจหญิงสาวที่ไม่เห็นแก่ตัวผู้นี้.
19, 20. (ก) ทำไมโบอัศไม่ตกลงแต่งงานกับรูททันที? (ข) โบอัศแสดงความกรุณาต่อรูทและคำนึงถึงชื่อเสียงของเธออย่างไร?
19 โบอัศพูดต่อไปว่า “ลูกหญิงเอ๋ย, อย่ากลัวเลย; สิ่งสารพัตรที่เจ้าได้ขอเราจะกระทำแก่เจ้า: ด้วยบรรดาชาวชนหัวเมืองของเราก็ทราบอยู่ดีแล้วว่าเจ้าเป็นหญิงชื่อเสียงดี.” (รูธ. 3:11) เขายินดีที่จะแต่งงานกับรูท และเขาอาจไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่รูทขอให้เขาเป็นผู้ไถ่ตัวเธอ. แต่โบอัศเป็นคนชอบธรรมและไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามใจชอบ. เขาจึงบอกรูทว่ามีผู้ไถ่อีกคนหนึ่งที่เป็นญาติใกล้ชิดกับครอบครัวของสามีนาอะมีมากกว่าเขา และเขาจะไปถามชายคนนั้นก่อนว่าต้องการแต่งงานกับรูทหรือไม่.
รูทปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความกรุณา เธอจึงมีชื่อเสียงดี
20 โบอัศบอกให้รูทนอนต่อ แล้วค่อยลุกไปตอนใกล้สว่างก่อนที่คนอื่นจะมาเห็น. เขาต้องการปกป้องชื่อเสียงของรูทและของตัวเอง เนื่องจากคนที่เห็นอาจเข้าใจผิดว่าทั้งสองทำผิดศีลธรรม. รูทนอนลงที่เท้าของโบอัศอีกครั้ง แต่ตอนนี้เธอคงสบายใจขึ้นหลังจากที่โบอัศยอมทำตามคำขอร้องของเธอด้วยความกรุณา. เธอลุกขึ้นตอนที่ฟ้ายังมืดอยู่. แล้วโบอัศก็ตวงข้าวบาร์เลย์หลายทะนานใส่เสื้อคลุมยาวของรูทให้เธอเอากลับไปที่เบทเลเฮม.—อ่านประวัตินางรูธ 3:13-15
21. อะไรทำให้รูทเป็น “หญิงชื่อเสียงดี” และเราจะเลียนแบบความเชื่อของเธอได้อย่างไร?
21 รูทคงปลาบปลื้มใจเมื่อคิดถึงคำพูดของโบอัศที่ชมเชยเธอว่าบรรดาชาวเมืองต่างก็รู้ว่าเธอเป็น “หญิงชื่อเสียงดี.” รูทคงมีชื่อเสียงดีเนื่องจากเธอกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้จักพระยะโฮวาและรับใช้พระองค์. นอกจากนั้น เธอยังแสดงความกรุณาอย่างมากต่อนาอะมีและคำนึงถึงชนร่วมชาติของนาง โดยเต็มใจปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตและธรรมเนียมที่เธอไม่คุ้นเคย. เราสามารถเลียนแบบความเชื่อของรูทได้โดยให้ความนับถืออย่างจริงใจต่อผู้อื่นและคำนึงถึงขนบธรรมเนียมของพวกเขา. ถ้าเราทำเช่นนั้น เราจะมีชื่อเสียงดีเช่นกัน.
ที่พักพิงสำหรับรูท
22, 23. (ก) อะไรอาจเป็นความหมายของข้าว 6 ทะนานที่โบอัศให้รูท? (ดูเชิงอรรถ) (ข) นาอะมีแนะนำให้รูททำอะไร?
22 เมื่อรูทกลับมาถึงบ้าน นาอะมีก็ถามว่า “ลูกเอ๋ย, เป็นอย่างไร?” นางอยากรู้ว่าตอนนี้รูทมีหวังจะได้แต่งงานอีกครั้งไหมหรือต้องเป็นม่ายต่อไป. รูทรีบเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับโบอัศให้นาอะมีฟัง. เธอยังให้นาอะมีดูข้าวบาร์เลย์ที่โบอัศฝากมาให้นางด้วย.c—รูธ. 3:16, 17
23 นาอะมีแนะนำรูทอย่างสุขุมรอบคอบว่าให้คอยอยู่ที่บ้านแทนที่จะออกไปเก็บข้าวตกในนา. นางบอกรูทว่า “ท่านจะไม่หยุดเลยจนกว่าท่านจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จในวันนี้.”—รูธ. 3:18, ฉบับคิงเจมส์
24, 25. (ก) โบอัศเป็นคนดีและไม่เห็นแก่ตัวอย่างไร? (ข) รูทได้รับพระพรอะไรบ้าง?
24 นาอะมีพูดถูกทีเดียว. โบอัศไปที่ประตูเมืองซึ่งเป็นที่ที่พวกผู้เฒ่าผู้แก่มักจะมาพบปะกัน. เขารอจนกระทั่งชายคนที่เป็นญาติใกล้ชิดกับครอบครัวของนาอะมีเดินผ่านมา. โบอัศถามชายคนนั้นต่อหน้าพยานทั้งหลายว่าเขาต้องการทำหน้าที่ผู้ไถ่โดยแต่งงานกับรูทหรือไม่. ชายคนนั้นปฏิเสธและอ้างว่าการแต่งงานกับรูทจะส่งผลเสียต่อมรดกของตน. ดังนั้น โบอัศจึงประกาศต่อหน้าพยานซึ่งอยู่ที่ประตูเมืองว่า เขาจะเป็นคนไถ่ตัวรูทโดยซื้อที่ดินทั้งหมดของอะลีเมะเล็คสามีของนาอะมีและแต่งงานกับรูทภรรยาม่ายของมาโลนลูกชายของอะลีเมะเล็ค. โบอัศกล่าวว่าที่เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อจะ “เชิดชูนามของผู้ตายนั้นไว้ที่มรดก” ของเขา. (รูธ. 4:1-10) โบอัศเป็นคนดีและไม่เห็นแก่ตัวจริง ๆ!
25 โบอัศแต่งงานกับรูท. หลังจากนั้น เราอ่านว่า “พระยะโฮวาเจ้าทรงประทานให้ [นาง] ตั้งครรภ์คลอดบุตรชาย.” พวกผู้หญิงในเมืองเบทเลเฮมอวยพรนาอะมีและยกย่องรูทว่าประเสริฐกว่าบุตรชายเจ็ดคน. เรารู้ว่าต่อมาลูกชายของรูทกลายเป็นปู่ของกษัตริย์ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่. (รูธ. 4:11-22) และดาวิดก็เป็นบรรพบุรุษของพระเยซูคริสต์.—มัด. 1:1d
26. ตัวอย่างของรูทกับนาอะมีเตือนใจเราในเรื่องใด?
26 รูทได้รับพระพรมากจริง ๆ และนาอะมีก็เช่นกัน. นางช่วยเลี้ยงลูกของรูทราวกับเป็นลูกของนางเอง. ชีวิตของผู้หญิงสองคนนี้เป็นตัวอย่างเตือนใจที่ชัดเจนว่า พระยะโฮวาทรงสังเกตเห็นทุกคนที่เต็มใจทำงานที่ต่ำต้อยเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวและรับใช้ร่วมกับประชาชนของพระองค์อย่างซื่อสัตย์. พระยะโฮวาจะไม่ลืมประทานรางวัลแก่คนที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ เช่น โบอัศ นาอะมี และรูท.
a ดังที่นาอะมีกล่าว พระยะโฮวาไม่เพียงกรุณาต่อคนที่มีชีวิตอยู่ แต่ยังกรุณาต่อคนที่ตายแล้วด้วย. นาอะมีสูญเสียสามีและลูกชายสองคน ส่วนรูทก็สูญเสียสามี. แน่นอน หญิงม่ายทั้งสองรักชายสามคนนี้อย่างมาก. ใครก็ตามที่แสดงความกรุณาต่อนาอะมีและรูทก็เหมือนกับได้แสดงความกรุณาต่อผู้ตายทั้งสาม เพราะพวกเขาคงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นผู้หญิงที่พวกเขารักได้รับการเอาใจใส่ดูแล.
b ดูเหมือนว่า สิทธิในการแต่งงานกับหญิงม่ายรวมทั้งสิทธิในมรดกของผู้ตายจะตกเป็นของพี่ชายหรือน้องชายก่อน จากนั้นจึงเป็นญาติใกล้ชิดที่สุดตามลำดับ.—อาฤ. 27:5-11
c โบอัศตวงข้าวให้รูท 6 ทะนาน ข้าว 6 ทะนานนี้อาจเปรียบได้กับการที่ชาวยิวต้องทำงาน 6 วันก่อนจะได้หยุดพักในวันซะบาโต. เขาคงหมายความว่ารูทซึ่งเป็นหญิงม่ายที่ทำงานหนักก็กำลังจะได้ “พัก” ในบ้านที่ปลอดภัยและได้รับการปกป้องดูแลจากสามี. ในอีกแง่หนึ่ง ข้าว 6 ทะนานอาจเป็นเพียงปริมาณข้าวที่รูทสามารถขนกลับบ้านได้.