วันสุดท้ายของชีวิตพระเยซูฐานะมนุษย์
บ่ายแก่ ๆ ของวันศุกร์ที่ 14 เดือนไนซาน ส.ศ. 33 ชายและหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังจะฝังศพเพื่อนรักของพวกเขา. คนหนึ่งในกลุ่มนี้คือนิโกเดโมได้นำเครื่องหอมมาเพื่อเตรียมการฝังศพ. ชายชื่อโยเซฟได้เตรียมผ้าป่านสะอาดมาเพื่อห่อศพที่ถูกตีจนฟกช้ำ.
ผู้คนเหล่านี้คือใคร? และพวกเขากำลังจะฝังศพใคร? เรื่องทั้งหมดนี้มีผลกระทบต่อคุณไหม? เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ ขอให้เราย้อนไปยังตอนเริ่มต้นของวันอันสำคัญนี้.
ตอนเย็นวันพฤหัสบดี วันที่ 14 เดือนไนซาน
ดวงจันทร์เต็มดวงสุกใสค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเหนือกรุงยะรูซาเลม. เมืองที่มีคนแออัดนี้สงบลงหลังจากวุ่นวายมาทั้งวัน. เย็นวันนี้อากาศอบอวลด้วยกลิ่นหอมของเนื้อลูกแกะย่าง. ใช่แล้ว ผู้คนนับพันกำลังเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์พิเศษ—การฉลองเทศกาลปัศคาประจำปี.
ในห้องรับแขกขนาดใหญ่ เราพบพระเยซูคริสต์กับอัครสาวก 12 คนของพระองค์อยู่ที่โต๊ะซึ่งเตรียมไว้พร้อม. ฟังสิ! พระเยซูกำลังตรัส. พระองค์ตรัสว่า “เรามีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะกินปัศคานี้กับพวกท่านก่อนเราจะต้องทนทุกข์ทรมาน.” (ลูกา 22:15) พระเยซูทรงทราบว่าเหล่าศัตรูทางศาสนาของพระองค์ตั้งใจจะให้พระองค์ถูกประหาร. แต่ก่อนที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น อะไรบางอย่างที่สำคัญทีเดียวจะเกิดขึ้นในเย็นวันนี้.
หลังจากฉลองปัศคาแล้ว พระเยซูทรงแจ้งว่า “คนหนึ่งในพวกท่านจะมอบเราไว้.” (มัดธาย 26:21) เรื่องนี้ทำให้พวกอัครสาวกเป็นทุกข์. คนนั้นจะเป็นใครหรือ? หลังจากการสนทนาได้อีกหน่อยหนึ่ง พระเยซูตรัสแก่ยูดาอิศการิโอดว่า “ท่านจะกระทำอะไรก็จงกระทำโดยเร็วเถิด.” (โยฮัน 13:27) ถึงแม้คนอื่น ๆ ไม่รู้ ยูดาเป็นคนทรยศ. เขาออกไปเพื่อทำบทบาทที่ชั่วร้ายให้สำเร็จในการวางแผนร้ายต่อพระเยซู.
การฉลองพิเศษ
ตอนนี้พระเยซูทรงตั้งการฉลองใหม่อย่างสิ้นเชิง—การฉลองเพื่อให้ระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระองค์. พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา ทูลอธิษฐานขอบพระคุณสำหรับขนมปังนั้นแล้วแบ่งเป็นชิ้น ๆ. พระองค์ตรัสสั่งว่า “จงรับกินเถิด.” “นี่แหละเป็น [“หมายถึง,” ล.ม.] กายของเราซึ่งได้ประทานให้สำหรับท่านทั้งหลาย.” เมื่อพวกเขาแต่ละคนรับประทานขนมปังไปบ้างแล้ว พระองค์ทรงหยิบจอกเหล้าองุ่นสีแดงมา แล้วทูลอธิษฐานขอบพระคุณสำหรับจอกนั้น. พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า “จงกิน [“ดื่ม,” ล.ม.] จากจอกนี้ทุกคนเถิด” และทรงชี้แจงว่า “จอกนี้เป็น [“หมายถึง,” ล.ม.] คำสัญญาใหม่โดยโลหิตของเราซึ่งจะเทไหลออกเพื่อท่านทั้งหลาย.” พระองค์ทรงสั่งอัครสาวกผู้ซื่อสัตย์ 11 คนที่เหลืออยู่ว่า “จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา.”—มัดธาย 26:26-28; ลูกา 22:19, 20; 1 โกรินโธ 11:24, 25.
เย็นวันนั้น ด้วยความกรุณาพระเยซูทรงเตรียมอัครสาวกผู้ภักดีของพระองค์ไว้พร้อมสำหรับสิ่งที่มีอยู่ข้างหน้าและทรงยืนยันความรักอันลึกซึ้งที่พระองค์มีต่อพวกเขา. พระองค์ทรงอธิบายว่า “ไม่มีผู้ใดมีความรักใหญ่ยิ่งกว่านี้ คือที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละจิตวิญญาณของตัวเพื่อมิตรของตน. เจ้าทั้งหลายเป็นมิตรของเราถ้าเจ้าปฏิบัติตามที่เราสั่งเจ้า.” (โยฮัน 15:13-15, ล.ม.) ใช่แล้ว อัครสาวก 11 คนได้พิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นมิตรแท้โดยอยู่กับพระเยซูอย่างใกล้ชิดในช่วงที่พระองค์ประสบความยากลำบาก.
ตอนดึกของวันนั้น—บางทีอาจจะเลยเที่ยงคืนไปแล้ว—พระเยซูทรงกล่าวคำอธิษฐานที่ควรแก่การระลึกถึง หลังจากนั้นพวกเขาร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา. ครั้นแล้ว โดยอาศัยแสงจันทร์วันเพ็ญ พวกเขาออกจากเมืองและข้ามหุบเขาฆิดโรนไป.—โยฮัน 17:1–18:1 ล.ม.
ในสวนเฆ็ธเซมาเน
หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูกับอัครสาวกก็มาถึงสวนเฆ็ธเซมาเน. เมื่อปล่อยอัครสาวกแปดคนไว้ตรงทางเข้าสวนแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร, ยาโกโบ, และโยฮันเข้าไปท่ามกลางต้นมะกอกเทศ. พระองค์ตรัสกับทั้งสามคนว่า “จิตต์ใจของเราเป็นทุกข์เพียงจะตาย จงคอยเฝ้าอยู่ที่นี่เถิด.”—มาระโก 14:33, 34.
อัครสาวกสามคนคอยอยู่ระหว่างพระเยซูเสด็จลึกเข้าไปในสวนเพื่ออธิษฐาน. ด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตรไหล พระองค์ทรงอ้อนวอนว่า “พระบิดาเจ้าข้า, ถ้าพระองค์พอพระทัย, ขอให้จอกนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพเจ้า.” พระเยซูทรงแบกความรับผิดชอบที่หนักหน่วง. ช่างเป็นสิ่งทำให้ทุกข์ระทมสักเพียงไรสำหรับพระองค์เมื่อคิดถึงสิ่งที่เหล่าศัตรูของพระยะโฮวาจะพูดขณะที่พระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ถูกตอกประหนึ่งเป็นอาชญากร! ที่ทำให้พระเยซูทรงเจ็บปวดรวดร้าวมากกว่านั้นเสียอีกคือ การคิดถึงคำติเตียนที่จะสุมทับพระบิดาที่รักของพระองค์ทางภาคสวรรค์หากพระองค์ล้มเหลวในการทดสอบที่เจ็บปวดแสนสาหัสนี้. พระเยซูทรงอธิษฐานอย่างจริงจังและความปวดร้าวเข้าครอบงำพระองค์จนกระทั่งพระเสโทกลายเป็นเหมือนหยดเลือดตกลงถึงดิน.—ลูกา 22:42, 44.
พระเยซูเพิ่งอธิษฐานเสร็จเป็นครั้งที่สาม. ตอนนี้คนกลุ่มหนึ่งถือคบเพลิงและโคมไฟใกล้เข้ามา. คนที่เดินนำหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากยูดาอิศการิโอด ซึ่งตรงมาหาพระเยซู. เขาพูดว่า “สวัสดี พระอาจารย์” แล้วก็จูบพระองค์อย่างนุ่มนวล. พระเยซูทรงตอบโต้ว่า “ยูดา, ท่านจะมอบบุตรมนุษย์ด้วยอาการจุบหรือ?”—มัดธาย 26:49, ฉบับแปลใหม่; ลูกา 22:47, 48; โยฮัน 18:3.
ทันใดนั้น พวกอัครสาวกก็ตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น. องค์พระผู้เป็นเจ้าและมิตรที่รักของเขากำลังจะถูกจับตัว! ดังนั้น เปโตรจึงคว้าดาบฟันหูทาสของมหาปุโรหิต. พระเยซูทรงร้องเสียงดังออกมาทันทีว่า “ขอเสียทีเถอะ.” พระองค์ทรงก้าวออกมารักษาทาสคนนั้นให้หายแล้วสั่งเปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ.” (ลูกา 22:50, 51; มัดธาย 26:52) พวกเจ้าหน้าที่และทหารได้จับพระเยซูไว้แล้วมัดพระองค์. เหล่าอัครสาวกซึ่งถูกครอบงำด้วยความกลัวและความสับสน ได้ทิ้งพระเยซูแล้วหนีไปในความมืดยามราตรี.—มัดธาย 26:56; โยฮัน 18:12.
ตอนเช้าวันศุกร์ วันที่ 14 เดือนไนซาน
เลยเที่ยงคืนไปแล้วก็มาถึงช่วงเช้าตรู่ของวันศุกร์. ทีแรกพระเยซูถูกพาตัวไปบ้านของอันนาศอดีตมหาปุโรหิตซึ่งยังคงมีอิทธิพลและอำนาจอยู่มากทีเดียว. อันนาศซักถามพระองค์และต่อจากนั้นก็ส่งพระองค์ไปบ้านของกายะฟามหาปุโรหิตซึ่งศาลซันเฮดรินได้ชุมนุมกันที่นั่น.
ตอนนี้พวกหัวหน้าศาสนาพยายามหาพยานเพื่อกุเรื่องขึ้นกล่าวหาพระเยซู. อย่างไรก็ตาม แม้แต่พวกพยานเท็จก็ไม่อาจเห็นพ้องกันในคำพยานของพวกเขา. ตลอดช่วงเวลานั้น พระเยซูคงนิ่งอยู่. โดยเปลี่ยนกลยุทธ์ กายะฟาสั่งว่า “เราให้เจ้าสาบานต่อพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่, ให้บอกเราว่า, เจ้าเป็นพระคริสต์บุตรของพระเจ้าหรือไม่?” นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้น พระเยซูทรงตอบอย่างกล้าหาญว่า “เราเป็น และท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงฤทธานุภาพ, และเสด็จมาในเมฆฟ้า.”—มัดธาย 26:63; มาระโก 14:60-62.
กายะฟาตะโกนว่า “เขาพูดหมิ่นประมาทแล้ว เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า?” ตอนนี้บางคนตบพระพักตร์พระเยซูแล้วถ่มน้ำลายรดพระองค์. บางคนต่อยพระองค์และแสดงการดูหมิ่นต่าง ๆ นานา. (มัดธาย 26:65-68; มาระโก 14:63-65) ไม่นานหลังจากรุ่งอรุณในวันศุกร์ ศาลซันเฮดรินเรียกประชุมกันอีก บางทีเพื่อทำให้การพิจารณาคดีตอนกลางคืนที่ผิดกฎหมายนั้นดูเหมือนว่าถูกต้องตามกฎหมายอยู่บ้าง. พระเยซูทรงชี้แจงอย่างกล้าหาญอีกครั้งหนึ่งว่า พระองค์เป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า.—ลูกา 22:66-71.
ต่อจากนั้น พวกปุโรหิตใหญ่และผู้เฒ่าผู้แก่ได้ลากพระเยซูไปให้ปอนเตียวปีลาตผู้สำเร็จราชการโรมันแห่งยูเดียพิจารณาคดี. พวกเขากล่าวหาพระเยซูว่าบ่อนทำลายประเทศชาติ, ห้ามการเสียภาษีให้ซีซาร์, และ “ว่าตัวเองเป็นพระคริสต์กษัตริย์องค์หนึ่ง.” (ลูกา 23:2; เทียบกับมาระโก 12:17.) หลังจากซักถามพระเยซูแล้ว ปีลาตประกาศว่า “เราไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิด.” (ลูกา 23:4) เมื่อปีลาตได้ยินว่าพระเยซูเป็นชาวฆาลิลาย เขาจึงส่งพระองค์ไปหาเฮโรดอันติปา ผู้ปกครองมณฑลฆาลิลายซึ่งอยู่ในกรุงยะรูซาเลมเพื่อฉลองปัศคา. เฮโรดมิได้ตั้งใจจะจัดการให้ดำเนินการด้วยความยุติธรรม. เขาแค่ต้องการเห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์เท่านั้น. เนื่องจากพระเยซูไม่สนองความอยากรู้อยากเห็นของเขาและคงเงียบอยู่ เฮโรดกับพวกทหารจึงกระเซ้าเย้าแหย่พระองค์แล้วส่งพระองค์กลับไปหาปีลาต.
ปีลาตถามอีกว่า “เขาได้ทำผิดอะไร? เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยเสีย.” (ลูกา 23:22) ดังนั้น เขาจึงให้เฆี่ยนพระเยซูด้วยแส้หลายเส้นซึ่งทำให้หลังของพระองค์แตกด้วยความเจ็บปวด. ต่อจากนั้นพวกทหารเอามงกุฎหนามกดลงบนพระเศียรของพระองค์. พวกเขาล้อเลียนพระองค์และตีพระองค์ด้วยไม้อ้อแข็ง ดันมงกุฎหนามให้เจาะเข้าไปในหนังพระเศียรอีก. ตลอดช่วงเวลาทั้งหมดที่เจ็บปวดสุดพรรณนาและถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม พระเยซูทรงรักษาไว้ซึ่งความสง่าผ่าเผยและความเข้มแข็งอย่างโดดเด่น.
ปีลาตพาพระองค์มาปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชนอีกครั้ง บางทีโดยหวังว่าสภาพของพระเยซูที่ถูกทำร้ายจะก่อให้เกิดความสงสารบ้าง. ปีลาตร้องเสียงดังว่า “ดูเถิด! เราพาคนนี้ออกมาให้ท่านทั้งหลายเพื่อให้ท่านรู้ว่า เราไม่เห็นว่าเขามีความผิดเลย.” แต่พวกปุโรหิตใหญ่ร้องตะโกนว่า “เอาไปตอกบนหลักเสีย! เอาไปตอกบนหลักเสีย!” (โยฮัน 19:4-6 ล.ม.) ขณะที่ฝูงชนยืนกรานมากขึ้นทุกที ปีลาตก็ยอมจำนนแล้วนำพระเยซูมามอบให้เขาไปตอกบนหลัก.
สิ้นพระชนม์อย่างเจ็บปวดรวดร้าว
ถึงตอนนี้เป็นเวลาสายแล้ว บางทีใกล้จะเที่ยงวัน. พระเยซูถูกพาไปนอกกรุงยะรูซาเลมถึงสถานที่ซึ่งเรียกว่าโฆละโฆธา. พระหัตถ์และพระบาทของพระเยซูถูกตอกติดกับหลักทรมานด้วยตะปูขนาดใหญ่. ไม่อาจพรรณนาถึงความเจ็บปวดรวดร้าวได้ขณะที่น้ำหนักของร่างกายพระองค์ทำให้บาดแผลตรงที่ตะปูตอกนั้นฉีกขาด เมื่อหลักทรมานนั้นถูกตั้งตรงขึ้น. ฝูงชนชุมนุมกันเพื่อสังเกตดูพระเยซูกับผู้ร้ายสองคนที่ถูกตอกอยู่บนหลัก. หลายคนพูดอย่างสบประมาทต่อพระเยซู. พวกปุโรหิตใหญ่และคนอื่น ๆ เยาะเย้ยว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ช่วยตัวของตัวเองไม่ได้.” แม้แต่ทหารและผู้ร้ายสองคนที่ตอกอยู่บนหลักก็ยังเยาะเย้ยพระเยซู.—มัดธาย 27:41-44.
ทันใดนั้นในตอนเที่ยงวัน หลังจากพระเยซูอยู่บนหลักชั่วขณะหนึ่ง ความมืดอันน่าประหลาดที่มีต้นตอมาจากพระเจ้าได้ปกคลุมแผ่นดินเป็นเวลาสามชั่วโมง.a บางทีเหตุการณ์นี้แหละที่กระตุ้นให้ผู้ร้ายคนหนึ่งตำหนิผู้ร้ายอีกคนหนึ่ง. ครั้นแล้ว เขาก็หันไปทางพระเยซู ทูลอ้อนวอนว่า “ขอทรงระลึกถึงข้าพเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จเข้าในราชอาณาจักรของพระองค์.” ช่างเป็นการแสดงความเชื่อที่น่าประหลาดใจเสียจริง ๆ แม้กำลังจะเผชิญความตาย! พระเยซูตรัสตอบว่า “แท้จริง เราบอกเจ้าวันนี้ เจ้าจะอยู่กับเราในอุทยาน.”—ลูกา 23:39-43, ล.ม.
ราว ๆ บ่ายสามโมง พระเยซูรู้สึกว่าจุดจบของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว. พระองค์ตรัสว่า “เรากระหายน้ำ.” ครั้นแล้วพระองค์ทรงร้องด้วยเสียงดังว่า “พระเจ้าข้า ๆ เหตุไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเสีย?” พระเยซูอาจรู้สึกว่าพระบิดาของพระองค์ดูประหนึ่งว่าเพิกถอนการคุ้มครองไปจากพระองค์เพื่อปล่อยให้ความซื่อสัตย์มั่นคงของพระองค์ถูกทดลองจนถึงขีดสุด และพระองค์ทรงยกถ้อยคำของดาวิดขึ้นมากล่าว. มีคนเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวส่งที่พระโอษฐ์ของพระเยซู. ครั้นเสวยเหล้าองุ่นแล้ว พระเยซูตรัสด้วยอาการหอบว่า “สำเร็จแล้ว.” ครั้นแล้วพระองค์ทรงร้องว่า “พระบิดาเจ้าข้า, ข้าพเจ้าฝากวิญญาณจิตต์ของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ทรงก้มพระเศียรลงและสิ้นพระชนม์.—โยฮัน 19:28-30; มัดธาย 27:46; ลูกา 23:46; บทเพลงสรรเสริญ 22:1.
เนื่องจากใกล้จะถึงเวลาเย็นแล้ว จึงมีการจัดเตรียมอย่างรีบเร่งเพื่อฝังพระศพของพระเยซูก่อนวันซะบาโต (วันที่ 15 เดือนไนซาน) ซึ่งเริ่มต้นตอนดวงอาทิตย์ตก. โยเซฟจากบ้านอะริมาธาย สมาชิกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งของศาลซันเฮดรินซึ่งเป็นสาวกของพระเยซูโดยไม่เปิดเผยตัว ได้รับอนุญาตฝังพระศพพระองค์. นิโกเดโม ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของศาลซันเฮดรินด้วยซึ่งได้ยอมรับความเชื่อในพระเยซูโดยไม่เปิดเผยก็ช่วยเหลือโดยเอามดยอบและอาโลเอหนัก 33 กิโลกรัมมาให้. ด้วยความระมัดระวัง พวกเขาวางพระศพของพระเยซูในอุโมงค์รำลึกใหม่ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั้น.
ทรงพระชนม์อีกครั้ง!
เช้ามืดวันอาทิตย์มาเรียมัฆดาลาและผู้หญิงคนอื่น ๆ บางคนไปที่อุโมงค์ของพระเยซู. แต่ดูสิ! หินที่อยู่ข้างหน้าอุโมงค์ถูกกลิ้งออกไปแล้ว. อุโมงค์ว่างเปล่า! มาเรียมัฆดาลารีบวิ่งไปบอกเปโตรและโยฮัน. (โยฮัน 20:1, 2) ทันทีหลังจากเธอออกไปแล้ว ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏแก่ผู้หญิงคนอื่น ๆ. ทูตองค์นั้นกล่าวว่า “อย่ากลัวเลย.” ท่านยังเร่งเร้าด้วยว่า “จงรีบไปบอกพวกสาวกของพระองค์เถิดว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว.”—มัดธาย 28:2-7.
ขณะที่พวกผู้หญิงรีบรุดไปกันนั้น ผู้ที่พวกเธอได้พบก็คือพระเยซูนั่นเอง! พระองค์ทรงแจ้งแก่พวกเธอว่า “จงไปบอกพวกพี่น้องของเรา.” (มัดธาย 28:8-10) ต่อมา ขณะมาเรียมัฆดาลาร้องไห้อยู่ที่อุโมงค์พระเยซูทรงปรากฏแก่เธอ. เธอแทบจะกลั้นความยินดีไว้ไม่อยู่และรีบวิ่งไปบอกพวกสาวกคนอื่น ๆ ถึงข่าวที่น่าพิศวงนี้. (โยฮัน 20:11-18) ที่จริง พระเยซูผู้ได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์แล้วทรงปรากฏแก่สาวกหลายคนถึงห้าครั้งในวันอาทิตย์ที่จะลืมไม่ได้นี้ ยืนยันได้ว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่อีกครั้งอย่างแท้จริง!
คุณได้รับผลกระทบอย่างไร
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 1,966 ปีมาแล้วจะมีผลกระทบต่อคุณในขณะนี้ ณ จุดเริ่มต้นของศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร? คนหนึ่งที่เป็นประจักษ์พยานเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้นอธิบายว่า “โดยข้อนี้ ความรักของพระเจ้าได้ปรากฏให้เห็นในกรณีของเรา เพราะว่า พระเจ้าได้ส่งพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อเราจะได้ชีวิตโดยทางพระองค์นั้น. ความรักในกรณีนี้คือ ไม่ใช่ว่าเราได้รักพระเจ้า แต่ว่าพระองค์ได้ทรงรักเราและได้ส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชาระงับพระพิโรธเพราะบาปของเรา.”—1 โยฮัน 4:9, 10, ล.ม.
ความตายของพระเยซูเป็น “เครื่องบูชาระงับพระพิโรธ” ในทางใด? เครื่องบูชานั้นระงับพระพิโรธเพราะทำให้เป็นไปได้ที่จะมีสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้า. อาดามมนุษย์คนแรกได้ขัดขืนพระเจ้าและฉะนั้นจึงถ่ายทอดมรดกแห่งบาปและความตายมาสู่ลูกหลานของเขา. ในอีกด้านหนึ่ง พระเยซูทรงประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่เพื่อชดใช้สำหรับบาปและความตายของมนุษยชาติ โดยวิธีนี้จึงจัดเตรียมพื้นฐานไว้เพื่อพระเจ้าจะแผ่ความเมตตาและความโปรดปราน. (1 ติโมเธียว 2:5, 6) โดยการแสดงความเชื่อในเครื่องบูชาของพระเยซูที่ไถ่ถอนบาป คุณอาจได้รับการปลดปล่อยจากการพิพากษาโทษซึ่งคุณได้สืบทอดมาจากอาดามผู้ทำบาปนั้น. (โรม 5:12; 6:23) ในที่สุด นี่เปิดโอกาสอันน่าพิศวงในการมีสัมพันธภาพส่วนตัวกับพระยะโฮวาพระเจ้า พระบิดาทางภาคสวรรค์องค์เปี่ยมด้วยความรัก. กล่าวโดยสรุป เครื่องบูชาที่ล้ำเลิศของพระเยซูอาจหมายถึงชีวิตที่ไม่รู้สิ้นสุดสำหรับคุณ.—โยฮัน 3:16; 17:3.
จะมีการพิจารณาเรื่องราวเหล่านี้และเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องด้วยในตอนเย็นวันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน ณ สถานที่หลายหมื่นแห่งตลอดทั่วโลกเมื่อผู้คนหลายล้านจะชุมนุมกันเพื่อระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์. คุณได้รับการเชิญให้เข้าร่วม. พยานพระยะโฮวาในท้องถิ่นของคุณจะยินดีบอกสถานที่และเวลาซึ่งคุณสามารถเข้าร่วมได้. ไม่ต้องสงสัยว่า การเข้าร่วมจะทำให้คุณมีความหยั่งรู้ค่าลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อสิ่งที่พระเจ้าองค์เปี่ยมด้วยความรักและพระบุตรที่รักของพระองค์ทรงกระทำในวันสุดท้ายของชีวิตพระเยซูฐานะมนุษย์.
[เชิงอรรถ]
a ความมืดนั้นจะเกิดจากสุริยคราสไม่ได้ เพราะพระเยซูสิ้นพระชนม์ในตอนที่ดวงจันทร์เต็มดวง. สุริยคราสอยู่นานเพียงไม่กี่นาทีและเกิดขึ้นตอนที่ดวงจันทร์อยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ในช่วงข้างแรม.
[กรอบหน้า 7]
การวายพระชนม์และการคืนพระชนม์ของพระเยซู
เดือนไนซาน ส.ศ. 33 เหตุการณ์ต่าง ๆ บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งb
ตอนเย็น การฉลองปัศคา; พระเยซูทรงล้างเท้าพวก บท 113 ว. 2
วันพฤหัสบดีที่ 14 อัครสาวก; ยูดาออกไปเพื่อทรยศ ถึง 117 ว. 1
ต่อพระเยซู; พระคริสต์ทรงตั้งการประชุม
อนุสรณ์เกี่ยวกับการวายพระชนม์ของพระองค์
(ปีนี้ฉลองกันในวันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน
หลังดวงอาทิตย์ตก); คำกระตุ้นเตือนเพื่อเตรียม
อัครสาวกไว้สำหรับการจากไปของพระองค์
เที่ยงคืนจนถึง หลังจากอธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญ บท 117 ถึง 120
ก่อนรุ่งอรุณ พระเยซูกับเหล่าอัครสาวกไปยังสวนเฆ็ธเซมาเน;
พระเยซูทรงอธิษฐานด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตร
ไหล; ยูดาอิศการิโอดมาถึงพร้อมกับฝูงชนจำนวนมาก
และทรยศต่อพระเยซู; พวกอัครสาวกหนีขณะพระเยซู
ถูกมัดแล้วถูกพาไปหาอันนาศ; พระเยซูถูกพาไปหา
มหาปุโรหิตกายะฟาเพื่อปรากฏตัวต่อหน้าศาลซันเฮดริน;
ถูกตัดสินประหารชีวิต; ถูกดูหมิ่นทั้งทางวาจาและการทำ
ร้ายร่างกาย; เปโตรปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง
ตอนเช้า ตอนรุ่งอรุณ พระเยซูปรากฏตัวอีกครั้งต่อหน้าศาล บท 121 ถึง 124
วันศุกร์ ซันเฮดริน; ถูกพาไปหาปีลาต; ถูกส่งไปหาเฮโรด;
กลับไปหาปีลาตอีก; พระเยซูถูกลงแส้, ถูกดูหมิ่น,
และประทุษร้าย; ภายใต้ความกดดันปีลาตจึงได้มอบ
พระองค์ให้เขาเอาไปตรึง; ถูกพาไปยังโฆละโฆธา
เพื่อประหารชีวิตในตอนสาย
เที่ยงวัน ถูกตอกก่อนเที่ยงวันไม่นาน; ความมืดตั้งแต่ตอนเที่ยง บท 125, 126
ถึงบ่ายสามโมง วันจนกระทั่งราว ๆ บ่ายสามโมง ตอนที่พระเยซู
สิ้นพระชนม์; แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง; ม่านใน
พระวิหารขาดเป็นสองท่อน
ตอนบ่ายแก่ ๆ เขาเอาพระศพของพระเยซูใส่ไว้ในอุโมงค์ใน บท 127 ว. 1-7
สวนก่อนวันซะบาโต
ตอนเย็น วันซะบาโตเริ่มต้น
วันศุกร์ที่ 15
วันเสาร์ ปีลาตยอมให้มียามเฝ้าหลุมฝังศพของพระเยซู บท 127 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 16 ตอนเช้าตรู่อุโมงค์ของพระเยซูปรากฏว่าว่างเปล่า; บท 127
พระเยซูผู้ได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์ทรงปรากฏแก่ ว. 10 ถึง 129 ว. 10
(1) กลุ่มสาวกที่เป็นผู้หญิง รวมทั้งซะโลเม, โยอันนา,
และมาเรียมารดาของยาโกโบ; (2) มาเรียมัฆดาลา;
(3) เกลวปากับเพื่อนของเขา; (4) ซีโมนเปโตร;
(5) การประชุมของอัครสาวกและสาวกคนอื่น ๆ
[เชิงอรรถ]
b ตัวเลขที่ลงรายการไว้ ณ ที่นี้ชี้ถึงบทต่าง ๆ ในหนังสือบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น. สำหรับแผนภูมิที่มีข้ออ้างอิงจากพระคัมภีร์โดยละเอียดสำหรับงานรับใช้ช่วงสุดท้ายของพระเยซู โปรดดู “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์” (ภาษาอังกฤษ) หน้า 290. หนังสือเหล่านี้ได้รับการจัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.