จงเลียนแบบความเชื่อของเขา
เขาต่อสู้กับความกลัวและความสงสัย
เปโตรออกแรงตีกรรเชียง ตาก็เพ่งมองไปในความมืดยามค่ำคืน. แสงเรื่อ ๆ ที่เขาเห็นตรงขอบฟ้าทางทิศตะวันออกนั้นเป็นสัญญาณบอกเวลาเช้าแล้วไหม? กล้ามเนื้อหลังและไหล่ของเขาปวดร้าวเพราะพายเรือมานานหลายชั่วโมง. ลมแรงที่พัดตีผมของเขาได้ทำให้ทะเลแกลิลีปั่นป่วน. คลื่นลูกแล้วลูกเล่าที่ซัดกระแทกหัวเรือทำให้ละอองน้ำเย็นสาดกระเซ็นขึ้นมาจนตัวเขาเปียกโชก. เขาพายเรือต่อไป.
ก่อนหน้านี้เปโตรกับเพื่อน ๆ เพิ่งละพระเยซูไว้บนฝั่งตามลำพัง. วันนั้นพวกเขาได้เห็นพระเยซูเลี้ยงอาหารฝูงชนที่หิวนับพันคนด้วยขนมปังไม่กี่อันและปลาไม่กี่ตัว. ฝูงชนจึงต้องการจะตั้งพระเยซูเป็นกษัตริย์ แต่พระองค์ไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง. และพระองค์ก็ไม่ต้องการให้ผู้ที่ติดตามพระองค์มีความปรารถนาเช่นนั้น. เมื่อหลบเลี่ยงจากฝูงชนแล้ว พระองค์จึงบอกสาวกให้ลงเรือไปอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนพระองค์ก็ขึ้นไปอธิษฐานบนภูเขาตามลำพัง.—มาระโก 6:35-45; โยฮัน 6:14, 15
ดวงจันทร์เกือบเต็มดวงที่ส่องอยู่เหนือศีรษะตอนพวกสาวกออกเรือมา บัดนี้ค่อย ๆ คล้อยต่ำลงทางขอบฟ้าด้านทิศตะวันตก. แต่พวกเขาเพิ่งพายเรือมาได้ไม่กี่กิโลเมตร. คลื่นลมที่รุนแรงส่งเสียงอื้ออึงทำให้พูดคุยกันลำบาก. ดูเหมือนว่า เปโตรกำลังคิดอะไรเงียบ ๆ อยู่คนเดียว.
มีเรื่องให้คิดมากมายจริง ๆ! เขาได้ติดตามพระเยซูชาวนาซาเรทมานานกว่าสองปีและมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น. เขาได้เรียนรู้หลายสิ่ง แต่ก็ยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกมาก. ความเต็มใจที่จะเรียนรู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ เช่น ความสงสัยและความกลัว ทำให้เปโตรเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นซึ่งเราจะเลียนแบบได้. ให้เรามาดูว่าเขาเป็นตัวอย่างอย่างไร.
“พวกเราพบพระมาซีฮาแล้ว”!
เปโตรไม่มีทางลืมวันนั้นที่ได้พบกับพระเยซูชาวนาซาเรท. อันเดรอัสน้องชายของเขาเป็นคนแรกที่มาบอกข่าวอันน่าตื่นเต้นว่า “พวกเราพบพระมาซีฮาแล้ว.” คำพูดนี้ทำให้ชีวิตของเปโตรเริ่มเปลี่ยนไป. ชีวิตของเขาจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเลย.—โยฮัน 1:41
เปโตรอาศัยอยู่ในเมืองคาเปอร์นาอุมซึ่งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบน้ำจืดที่เรียกว่าทะเลแกลิลี. เขากับอันเดรอัสทำธุรกิจประมงร่วมกับยาโกโบและโยฮันบุตรเซเบเดอุส. คนที่อาศัยอยู่กับเปโตรไม่ได้มีเพียงภรรยาเท่านั้น แต่ยังมีแม่ยายกับอันเดรอัสน้องชายด้วย. ไม่ต้องสงสัยว่า เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวโดยการจับปลา เขาคงต้องทำงานหนัก, ใช้แรงมาก, ทั้งยังต้องเป็นคนรู้จักแก้ปัญหาด้วย. เราคงนึกภาพออกว่ามีหลายคืนที่เขาต้องตรากตรำทำงานอย่างหนัก พวกผู้ชายหย่อนอวนลงระหว่างเรือสองลำและช่วยกันดึงขึ้นมาบนเรือไม่ว่าจะได้ปลาอะไรก็ตาม. เราคงนึกภาพออกด้วยว่าตอนกลางวันพวกเขาก็ต้องทำงานหนักเพื่อคัดปลาและเอาไปขาย รวมทั้งซ่อมแซมและทำความสะอาดอวน.
คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าอันเดรอัสเป็นสาวกของโยฮันผู้ให้บัพติสมา. เปโตรคงฟังน้องชายเล่าเกี่ยวกับข่าวสารของโยฮันอย่างสนอกสนใจแน่ ๆ. วันหนึ่ง อันเดรอัสเห็นโยฮันชี้ไปที่พระเยซูชาวนาซาเรทและบอกว่า “ดูสิ พระเมษโปดกของพระเจ้า!” อันเดรอัสเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซูทันที และรีบไปบอกข่าวที่น่าตื่นเต้นแก่เปโตรว่า พระมาซีฮาเสด็จมาแล้ว! (โยฮัน 1:35-40) หลังจากการกบฏในสวนเอเดนประมาณ 4,000 ปีก่อนหน้านั้น พระยะโฮวาพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่า จะมีบุคคลสำคัญผู้หนึ่งมาปรากฏเพื่อให้ความหวังแท้แก่มนุษยชาติ. (เยเนซิศ 3:15) อันเดรอัสได้พบผู้ช่วยให้รอดองค์นี้แล้ว คือพระมาซีฮานั่นเอง! เปโตรก็รีบออกไปพบพระเยซูด้วย.
ก่อนหน้านี้ เปโตรเป็นที่รู้จักในชื่อซีโมน. แต่พระเยซูทรงมองเขาและตรัสว่า “ ‘เจ้าคือซีโมนบุตรโยฮัน เจ้าจะได้ชื่อว่าเกฟา’ (ซึ่งแปลเป็นภาษากรีกว่าเปโตร).” (โยฮัน 1:42) “เกฟา” เป็นคำนามแปลว่า “ก้อนหิน” หรือ “ศิลา.” ดูเหมือนว่า พระเยซูตรัสในเชิงพยากรณ์. พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าว่าเปโตรจะเป็นเหมือนศิลา คือแข็งแกร่ง, หนักแน่นมั่นคง, และเป็นพลังชักจูงที่วางใจได้ในหมู่สาวกของพระคริสต์. เปโตรคิดว่าตนเองเป็นเช่นนั้นไหม? ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจ. แม้แต่บางคนในปัจจุบันที่ได้อ่านเรื่องราวในหนังสือกิตติคุณก็รู้สึกว่าเปโตรไม่เหมือนศิลาสักเท่าไร. บางคนบอกว่าเปโตรไม่ค่อยมั่นคง ไม่หนักแน่น และเอาแน่ไม่ได้.
จริงอยู่ เปโตรมีข้อบกพร่อง. พระเยซูก็ทรงทราบเรื่องนั้นดี. แต่พระเยซูทรงมองหาส่วนดีของผู้คนเสมอเช่นเดียวกับพระยะโฮวา พระบิดาของพระองค์. พระเยซูทรงเห็นศักยภาพมากมายในตัวเปโตร และพระองค์พยายามช่วยเขาให้พัฒนาคุณลักษณะที่ดีเหล่านั้น. พระยะโฮวาและพระบุตรทรงมองหาส่วนดีในตัวพวกเราในทุกวันนี้เช่นกัน. เราอาจคิดว่าคงไม่มีอะไรดีมากนักในตัวเราที่พระองค์ทั้งสองจะเห็น. แต่เราต้องเชื่อมั่นในมุมมองของพระองค์ทั้งสองและพิสูจน์ตัวว่าเราเต็มใจให้พระองค์ฝึกสอนและนวดปั้นเราเช่นเดียวกับเปโตร.—1 โยฮัน 3:19, 20
“อย่ากลัวเลย”
ดูเหมือนว่าหลังจากนั้นเปโตรก็ร่วมเดินทางไปกับพระเยซูในงานเผยแพร่อยู่ช่วงหนึ่ง. ฉะนั้น เขาคงได้เห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์ครั้งแรก คือการเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นในงานสมรสที่เมืองคานา. ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาได้ยินพระเยซูประกาศข่าวสารที่ยอดเยี่ยมอันเปี่ยมด้วยความหวังเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้า. ถึงกระนั้น เขาก็เลิกติดตามพระองค์แล้วกลับไปทำธุรกิจประมงอีก. แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนเปโตรก็ได้พบพระเยซูอีก และคราวนี้พระเยซูทรงเชิญเปโตรมาเป็นผู้ติดตามพระองค์เรื่อยไป.
เปโตรเพิ่งกลับจากการหาปลาทั้งคืนด้วยความท้อใจ. เขากับเพื่อนพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะหย่อนอวนลงในทะเลแต่ก็ไม่มีอะไรติดอวนขึ้นมาเลย. แน่นอนว่า เปโตรคงได้ใช้ความสามารถและประสบการณ์ทั้งหมดที่มีเพื่อแก้ปัญหา โดยลองหย่อนอวนลงหลาย ๆ ที่เพื่อดูว่าปลากำลังหากินอยู่บริเวณไหน. เช่นเดียวกับชาวประมงจำนวนมาก คงมีหลายครั้งแน่ ๆ ที่เปโตรนึกอยากจะให้ตนสามารถมองเห็นฝูงปลาที่อยู่ใต้น้ำอันมืดมิดได้ หรือมีอำนาจเรียกปลาเหล่านั้นให้เข้ามาในอวนได้. แน่ละ การคิดเช่นนั้นมีแต่จะทำให้เขาข้องขัดใจมากขึ้น. เปโตรไม่ได้จับปลาเพื่อความสนุกเพลิดเพลิน แต่เพื่อหาเลี้ยงอีกหลายคน. ในที่สุด เขาก็กลับเข้าฝั่งมือเปล่า. ถึงกระนั้นเขาก็ต้องทำความสะอาดอวน. เขาจึงง่วนอยู่กับงานตอนที่พระเยซูมาหา.
ฝูงชนมาห้อมล้อมพระเยซู กระตือรือร้นที่จะฟังคำสอนทุกคำของพระองค์. เนื่องจากฝูงชนเบียดเสียดกัน พระเยซูจึงลงเรือของเปโตรและขอให้เขาเอาเรือออกจากฝั่งไปเล็กน้อย. เสียงของพระเยซูที่สะท้อนจากผิวน้ำทำให้ฝูงชนได้ยินเรื่องที่พระองค์สอนอย่างชัดเจน. เปโตรตั้งใจฟังเช่นเดียวกับฝูงชนที่อยู่บนฝั่ง. เขาไม่เคยเบื่อที่จะฟังพระเยซูอธิบายหัวข้อสำคัญในการสอนของพระองค์ ซึ่งก็คือเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. คงจะเป็นสิทธิพิเศษอันใหญ่หลวงที่ได้ช่วยพระคริสต์เผยแพร่ข่าวสารแห่งความหวังนี้ไปทั่วดินแดนนั้น! แต่เขาจะทำได้หรือ? จะเลี้ยงดูตัวเองอย่างไร? บางทีเปโตรคงคิดถึงคืนอันยาวนานที่เพิ่งผ่านมาซึ่งหาปลาไม่ได้เลย.—ลูกา 5:1-3
เมื่อพระเยซูสอนเสร็จแล้ว พระองค์บอกกับเปโตรว่า “จงออกไปที่น้ำลึกแล้วหย่อนอวนของพวกเจ้าลงจับปลา.” เปโตรเต็มไปด้วยความสงสัย. เขากล่าวว่า “อาจารย์ พวกข้าพเจ้าเหนื่อยมาทั้งคืนและไม่ได้ปลาเลย แต่ข้าพเจ้าจะหย่อนอวนลงตามที่พระองค์สั่ง.” แน่นอนว่า สิ่งที่เปโตรไม่อยากทำที่สุดก็คือหย่อนอวนลงอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ปลาจะออกมาหากินเลย! แต่เขาก็ทำตาม และคงส่งสัญญาณให้เพื่อนที่อยู่ในเรืออีกลำหนึ่งตามไปด้วย.—ลูกา 5:4-7
เปโตรรู้สึกได้ถึงอวนที่หนักอึ้งขณะที่เขาเริ่มลากมันขึ้นมา. เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะหนักขนาดนี้ เขาออกแรงดึงมากขึ้น และไม่ช้าก็เห็นปลาจำนวนมากดิ้นอยู่ในตาข่าย! เขารีบส่งสัญญาณให้คนในเรืออีกลำหนึ่งมาช่วย. เมื่อพวกเขามาถึง ไม่ช้าก็เห็นว่าเรือลำเดียวไม่พอใส่ปลาทั้งหมด. พวกเขาได้ปลาเต็มสองลำเรือ แต่ก็ยังมีมากเกินไปอยู่ดี เรือจึงแทบจะจมเพราะหนักเกินไป. เปโตรรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก. ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นพระเยซูแสดงฤทธิ์อำนาจมาแล้ว แต่ครั้งนี้พระองค์ทำเพื่อเขาโดยเฉพาะ! บุรุษผู้นี้สามารถทำได้กระทั่งสั่งปลาให้มาเข้าอวน! เปโตรเกิดกลัวขึ้นมา. เขาทรุดตัวลงที่พระชานุของพระองค์และกล่าวว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงอยู่ห่างจากข้าพเจ้าเถิดเพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป.” คนบาปอย่างเขาจะไปคู่ควรกับการคบหาใกล้ชิดกับผู้ที่ใช้อำนาจจากพระเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?—ลูกา 5:6-9
พระเยซูตรัสอย่างกรุณาว่า “อย่ากลัวเลย. ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะจับคน.” (ลูกา 5:10, 11) นี่ไม่ใช่เวลาที่จะสงสัยหรือหวั่นกลัว. ไม่มีเหตุผลที่เปโตรจะกังวลกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การจับปลา และไม่มีเหตุผลเช่นกันที่เขาจะวิตกกลัวเกี่ยวกับข้อบกพร่องของตนเองและคิดว่าตนไม่มีความสามารถพอ. พระเยซูทรงมีงานสำคัญที่ต้องทำ คืองานประกาศสั่งสอนซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของมวลมนุษย์. พระองค์ทรงรับใช้พระเจ้าผู้ “จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ.” (ยะซายา 55:7, ฉบับ R73) พระยะโฮวาจะทรงดูแลให้พวกเขามีสิ่งจำเป็นทางร่างกายและช่วยพวกเขาให้มีความเชื่อที่เข้มแข็ง.—มัดธาย 6:33
เปโตรตอบรับทันที เช่นเดียวกับยาโกโบและโยฮัน. “พวกเขาจึงนำเรือกลับเข้าฝั่งแล้วละทุกสิ่งและติดตามพระองค์.” (ลูกา 5:11) เปโตรแสดงความเชื่อในพระเยซูและผู้ที่ส่งพระองค์มา. นี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้. คริสเตียนในทุกวันนี้ที่เอาชนะความสงสัยและความกลัวเพื่อมาทำงานรับใช้พระเจ้าก็ได้แสดงความเชื่อเช่นเดียวกับเปโตร. การไว้วางใจในพระยะโฮวาเช่นนั้นจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน.—บทเพลงสรรเสริญ 22:4, 5
“เจ้าสงสัยทำไม?”
ประมาณสองปีหลังจากที่ได้พบกับพระเยซู คืนหนึ่ง เปโตรได้พายเรือฝ่าคลื่นลมแรงในทะเลแกลิลีดังที่ได้กล่าวในตอนต้น. แน่ละ เราไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังคิดถึงเหตุการณ์อะไรที่อยู่ในความทรงจำของเขา. มีหลายเรื่องที่เขาจะคิดถึงได้! พระเยซูได้ทรงรักษาแม่ยายของเปโตร. พระองค์ได้กล่าวคำเทศน์บนภูเขา. โดยการสอนและทำการอัศจรรย์ พระเยซูได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮา ผู้ที่พระยะโฮวาทรงเลือกสรร. ไม่ต้องสงสัยว่า ขณะที่เวลาผ่านไปหลายเดือน ข้อบกพร่องต่าง ๆ ของเปโตร เช่น แนวโน้มที่จะเกิดความกลัวและความสงสัยขึ้นมาง่าย ๆ ก็ลดน้อยลง. พระเยซูถึงกับเลือกเปโตรเป็นคนหนึ่งในอัครสาวก 12 คน! กระนั้น เปโตรก็ยังไม่สามารถเอาชนะความกลัวและความสงสัยได้อย่างสิ้นเชิง ดังที่เขาจะได้เรียนรู้อีกไม่นาน.
ในยามสี่ของคืนนั้น หรือช่วงเวลาระหว่างตี 3 ถึงดวงอาทิตย์ขึ้น จู่ ๆ เปโตรก็หยุดพายเรือและนั่งตัวตรง. ท่ามกลางคลื่นนั้นมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว! เป็นละอองคลื่นที่สะท้อนแสงจันทร์ไหม? ไม่ใช่ มันอยู่นิ่งเกินไป และตั้งตรง. นั่นคนนี่นา! ใช่แล้ว คนจริง ๆ และกำลังเดินอยู่บนผิวน้ำ! เมื่อคนนั้นเข้ามาใกล้ ดูเหมือนว่ากำลังจะผ่านพวกเขาไป. พวกสาวกตกใจกลัวมากและคิดว่าตาฝาดไป. ผู้นั้นพูดว่า “อย่ากลัว เราเอง อย่ากลัวเลย.” พระเยซูนั่นเอง!—มัดธาย 14:25-28
เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์ โปรดสั่งข้าพเจ้าให้เดินบนน้ำไปหาพระองค์.” ทีแรกเปโตรมีความกล้า. เนื่องจากรู้สึกตื่นเต้นมากกับการอัศจรรย์ที่ไม่มีใดเหมือนนี้ เปโตรจึงอยากได้หลักฐานมากขึ้นเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเชื่อ. เขาต้องการมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น. พระเยซูเรียกเขาให้มาหาด้วยความกรุณา. เปโตรจึงปีนข้ามกราบเรือลงไปเหยียบบนผิวน้ำที่เป็นคลื่น. คิดดูสิว่า เปโตรจะรู้สึกอย่างไรเมื่อพบว่าเขาไม่จมลงไปและกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำ. เขาคงต้องรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งขณะที่เดินไปหาพระเยซู. แต่ไม่ช้าเขาก็เกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา.—มัดธาย 14:29
เปโตรจำเป็นต้องเพ่งมองไปที่พระเยซูเสมอ. พระเยซูคือผู้ที่ทำให้เปโตรเดินบนน้ำได้โดยใช้อำนาจจากพระยะโฮวา. และพระเยซูทรงทำเช่นนั้นเพราะทรงเห็นว่าเปโตรมีความเชื่อในพระองค์. แต่เปโตรกลับวอกแวก. เราอ่านว่า “เมื่อเห็นพายุเขาก็กลัว.” เปโตรมองดูแต่คลื่นที่ซัดกระแทกเรือและแตกกระเซ็นเป็นฟองกระจายไปกับลม แล้วเขาก็กลัวมาก. บางทีเขาคงนึกภาพตัวเองกำลังจมลงในทะเลสาบนั้นและจมน้ำตาย. ยิ่งเขากลัว ความเชื่อของเขาก็ยิ่งลดน้อยลง. ชายที่ได้ชื่อว่าศิลาเพราะมีศักยภาพที่จะยืนหยัดมั่นคงก็เริ่มจมลงเหมือนหินก้อนหนึ่งเนื่องจากความเชื่อที่สั่นคลอน. เปโตรเป็นคนว่ายน้ำเก่ง แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ความสามารถนั้นในตอนนี้. เขาร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย!” พระเยซูจึงจับมือเขาและดึงขึ้นมา. และขณะที่ยังอยู่บนผิวน้ำนั่นเอง พระองค์ก็เน้นบทเรียนที่สำคัญกับเปโตรว่า “เจ้าผู้มีความเชื่อน้อย เจ้าสงสัยทำไม?”—มัดธาย 14:30, 31
“สงสัย”—ช่างเป็นคำที่เหมาะอะไรเช่นนี้! ความสงสัยอาจเป็นพลังที่ก่อความเสียหายได้อย่างมากมาย. ถ้าเรายอมแพ้ต่อความรู้สึกนี้ มันก็จะกัดกร่อนความเชื่อของเราและทำให้ความเชื่อของเราหมดไป. เราต้องสู้กับมันอย่างสุดกำลัง! โดยวิธีใด? ก็โดยการเพ่งมองให้ถูกที่. ถ้าเราคิดถึงแต่สิ่งที่ทำให้เรากลัว, สิ่งที่ทำให้เราท้อใจ, สิ่งที่ทำให้เราเขวไปจากพระยะโฮวาและพระบุตรของพระองค์ เราก็จะมีความสงสัยมากขึ้น. ถ้าเราเพ่งมองที่พระยะโฮวาและพระบุตรของพระองค์ มองสิ่งที่พระองค์ทั้งสองได้ทำ, กำลังทำ, และจะทำเพื่อผู้ที่รักพระองค์ ความสงสัยก็ไม่อาจจะทำลายความเชื่อของเราได้.
เมื่อเปโตรตามพระเยซูกลับขึ้นมาบนเรือ เขาก็เห็นว่าพายุสงบแล้ว. ทะเลแกลิลีสงบเงียบ. เปโตรและสาวกคนอื่น ๆ พูดออกมาว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ.” (มัดธาย 14:33) เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าส่องไปทั่วทะเลสาบ หัวใจของเปโตรคงเปี่ยมไปด้วยความสำนึกบุญคุณ. เขาได้เรียนรู้ที่จะเอาชนะความสงสัยและความกลัว. จริงอยู่ เขายังต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขอีกหลายอย่างกว่าจะมาเป็นคริสเตียนที่หนักแน่นมั่นคงดุจศิลาดังที่พระเยซูได้พยากรณ์ไว้. แต่เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพยายามต่อไปและก้าวหน้าต่อไป. คุณมีความตั้งใจเช่นนั้นด้วยไหม? คุณจะพบว่าความเชื่อของเปโตรนั้นควรค่าแก่การเลียนแบบอย่างแน่นอน.
[ภาพหน้า 22, 23]
พระเยซูทรงมองเห็นศักยภาพในตัวชาวประมงผู้มีใจถ่อมคนนี้
[ภาพหน้า 23]
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า . . . ข้าพเจ้าเป็นคนบาป”
[ภาพหน้า 24, 25]
“เมื่อเห็นพายุเขาก็กลัว”