-
ผู้ชายทั้งหลาย คุณอยู่ใต้อำนาจตำแหน่งประมุขของพระคริสต์ไหม?หอสังเกตการณ์ 2010 | 15 พฤษภาคม
-
-
ผู้ชายทั้งหลาย คุณอยู่ใต้อำนาจตำแหน่งประมุขของพระคริสต์ไหม?
“พระคริสต์ทรงเป็นประมุขของผู้ชายทุกคน.”—1 โค. 11:3
1. อะไรแสดงว่าพระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าที่มีระเบียบ?
ที่วิวรณ์ 4:11 กล่าวว่า “พระยะโฮวา พระเจ้าของพวกข้าพเจ้า พระองค์ทรงคู่ควรจะได้รับเกียรติยศ ความนับถือ และอำนาจ เพราะพระองค์ทรงสร้างทุกสิ่ง สิ่งเหล่านั้นดำรงอยู่ และถูกสร้างขึ้นตามที่พระองค์ทรงประสงค์.” ข้อเท็จจริงที่ว่าพระยะโฮวา “ไม่ใช่พระเจ้าแห่งความยุ่งเหยิง แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข” เห็นได้จากวิธีที่พระองค์ได้ทรงจัดระเบียบครอบครัวของพระองค์ที่ประกอบด้วยเหล่าทูตสวรรค์.—1 โค. 14:33; ยซา. 6:1-3; ฮีบรู 12:22, 23
2, 3. (ก) พระเจ้าทรงสร้างใครเป็นอันดับแรก? (ข) พระบุตรหัวปีทรงอยู่ในฐานะเช่นไรเมื่อเทียบกับพระบิดา?
2 ก่อนที่จะสร้างสิ่งใด ๆ พระเจ้าทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เองมาเป็นเวลานานจนไม่อาจนับได้. สิ่งทรงสร้างแรกสุดของพระองค์ได้แก่กายวิญญาณที่รู้จักกันในนาม “พระวาทะ” เนื่องจากทำหน้าที่เป็นโฆษกให้กับพระยะโฮวา. พระวาทะเป็นผู้ที่พระองค์ทรงใช้ให้สร้างสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมด. ต่อมา พระวาทะได้มายังแผ่นดินโลกในสภาพที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์และเป็นที่รู้จักในนามพระเยซูคริสต์.—อ่านโยฮัน 1:1-3, 14
3 คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับฐานะที่มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างพระเจ้ากับพระบุตรหัวปีของพระองค์? ในข้อเขียนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า อัครสาวกเปาโลบอกเราว่า “ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า พระคริสต์ทรงเป็นประมุขของผู้ชายทุกคน ผู้ชายเป็นประมุขของผู้หญิง และพระเจ้าทรงเป็นประมุขของพระคริสต์.” (1 โค. 11:3) พระคริสต์ทรงอยู่ใต้อำนาจตำแหน่งประมุขของพระบิดา. ตำแหน่งประมุขและการอยู่ใต้อำนาจเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสันติสุขและความเป็นระเบียบจะมีอยู่ทั่วไปท่ามกลางสิ่งทรงสร้างที่มีเชาวน์ปัญญา. แม้แต่ ‘ผู้ที่สร้างสิ่งอื่นทั้งหมด’ ก็ยังต้องอยู่ใต้อำนาจตำแหน่งประมุขของพระเจ้า.—โกโล. 1:16
4, 5. พระเยซูทรงรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับฐานะของพระองค์เมื่อเทียบกับพระยะโฮวา?
4 พระเยซูทรงรู้สึกอย่างไรที่อยู่ใต้อำนาจตำแหน่งประมุขของพระยะโฮวาและต้องมายังแผ่นดินโลก? พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระคริสต์เยซู . . . แม้ว่าพระองค์ทรงมีสภาพอย่างพระเจ้า แต่พระองค์ก็ไม่เคยคิดจะชิงอำนาจเพื่อจะมีฐานะเท่าเทียมกับพระเจ้า แต่พระองค์ทรงสละพระองค์เองแล้วรับสภาพทาสและมาเกิดเป็นมนุษย์. ยิ่งกว่านั้น เมื่อทรงเห็นว่าพระองค์เองมีสภาพเป็นมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระทัยเชื่อฟังจนสิ้นพระชนม์ คือสิ้นพระชนม์บนเสาทรมาน.”—ฟิลิป. 2:5-8
5 พระเยซูทรงถ่อมพระทัยทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเสมอตลอดเวลา. พระองค์ตรัสว่า “เราไม่อาจทำอะไรโดยพลการ . . . เราจะพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม เพราะเรามิได้มุ่งทำตามใจเราเอง แต่เรามุ่งทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา.” (โย. 5:30) พระองค์ทรงประกาศว่า “เราทำสิ่งที่ [พระบิดา] ชอบพระทัยเสมอ.” (โย. 8:29) ในช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพบนแผ่นดินโลก พระเยซูตรัสในคำอธิษฐานถึงพระบิดาว่า “ข้าพเจ้าได้ทำให้พระองค์ได้รับเกียรติบนแผ่นดินโลกแล้วโดยได้ทำงานที่พระองค์ทรงมอบหมายแก่ข้าพเจ้าจนสำเร็จ.” (โย. 17:4) เห็นได้ชัด พระเยซูไม่มีปัญหาในการยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นประมุขของพระองค์.
การอยู่ใต้อำนาจของพระบิดาทำให้พระบุตรได้รับประโยชน์
6. พระเยซูทรงแสดงคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมอะไร?
6 เมื่อทรงอยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงแสดงคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมหลายประการ. คุณลักษณะอย่างหนึ่งก็คือความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงแสดงต่อพระบิดา. พระองค์ตรัสว่า “เรารักพระบิดา.” (โย. 14:31) พระองค์ทรงแสดงความรักอันยิ่งใหญ่ต่อผู้คนด้วย. (อ่านมัดธาย 22:35-40) พระเยซูทรงกรุณาและคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น ไม่แข็งกร้าวหรือวางอำนาจเหนือผู้อื่น. พระองค์ตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายที่ตรากตรำและมีภาระมากจงมาหาเราเถิด แล้วเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น. จงรับแอกของเราแบกไว้และเรียนจากเรา เพราะเราเป็นคนอ่อนโยนและถ่อมใจ แล้วเจ้าทั้งหลายจะสดชื่น. เพราะแอกของเราพอเหมาะและภาระของเราก็เบา.” (มัด. 11:28-30) คนที่เปรียบดุจแกะทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่ถูกเหยียบย่ำและกดขี่ รู้สึกสบายใจอย่างยิ่งเนื่องด้วยบุคลิกภาพของพระเยซูที่ทำให้เบิกบานใจและข่าวสารที่ให้กำลังใจ.
7, 8. พระบัญญัติมีข้อห้ามอะไรสำหรับผู้หญิงที่มีอาการตกเลือด แต่พระเยซูทรงปฏิบัติต่อเธออย่างไร?
7 ขอให้พิจารณาว่าพระเยซูทรงปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างไร. ตลอดประวัติศาสตร์ ผู้ชายจำนวนมากปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างเลวร้าย. ผู้นำศาสนาในประเทศอิสราเอลโบราณก็ปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างนั้น. แต่พระเยซูทรงปฏิบัติต่อผู้หญิงด้วยความนับถือ. เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งป่วยด้วยอาการตกเลือดมานานถึง 12 ปี. เธอ “ได้รับความเจ็บปวดมามาก” เพราะรักษากับหมอมาแล้วหลายคนและเสียทรัพย์สินที่มีอยู่จนหมดตัวโดยหวังว่าจะหายจากโรค. แม้ได้พยายามทำทุกอย่างเช่นนั้น เธอกลับ “เป็นหนักกว่าเดิม.” ตามที่ระบุในพระบัญญัติ ถือว่าเธอมีมลทิน. ใครก็ตามที่ถูกต้องตัวเธอก็จะมีมลทินไปด้วย.—เลวี. 15:19, 25
8 เมื่อผู้หญิงคนนี้ได้ยินว่าพระเยซูกำลังรักษาคนป่วย เธอก็เข้ามาปะปนอยู่กับฝูงชนที่ห้อมล้อมพระองค์ และคิดในใจว่า “ถ้าเพียงฉันได้แตะฉลองพระองค์ ฉันก็จะหาย.” เธอแตะพระเยซู และเธอก็หายโรคในทันที. พระเยซูทรงรู้ว่าเธอไม่ควรแตะต้องฉลองพระองค์. อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้ดุว่าเธอ. ตรงกันข้าม พระองค์ทรงกรุณาเธอ. พระองค์ทรงเข้าใจว่าเธอคงต้องรู้สึกอย่างไรตลอดหลายปีที่ป่วยอยู่นั้นและทรงรู้ว่าเธอปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้รับความช่วยเหลือ. พระเยซูตรัสกับเธออย่างเห็นอกเห็นใจว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายโรค. จงไปอย่างมีความสุขและหายจากอาการป่วยที่ทำให้เจ้าเป็นทุกข์เถิด.”—มโก. 5:25-34
9. เมื่อสาวกของพระเยซูพยายามห้ามเด็ก ๆ ไว้ไม่ให้เข้ามาหาพระองค์ พระเยซูทรงแสดงปฏิกิริยาอย่างไร?
9 แม้แต่เด็ก ๆ ก็รู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับพระเยซู. เมื่อประชาชนพาลูก ๆ มาหาพระองค์ในโอกาสหนึ่ง เหล่าสาวกห้ามพวกเขาไว้ ดูเหมือนเพราะคิดว่าพระองค์คงไม่ต้องการถูกเด็ก ๆ รบกวน. แต่พระเยซูไม่ทรงรู้สึกอย่างนั้น. บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “เมื่อพระเยซูทรงเห็นเช่นนั้นก็ไม่พอพระทัยและตรัสกับ [เหล่าสาวก] ว่า ‘ให้เด็กเล็ก ๆ เข้ามาหาเราเถิด อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนอย่างนี้.’ ” ยิ่งกว่านั้น “พระองค์ทรงโอบเด็ก ๆ ไว้ แล้วทรงวางพระหัตถ์บนพวกเด็ก ๆ และอวยพรพวกเขา.” พระเยซูไม่ได้จำใจทนอยู่กับเด็ก ๆ แต่พระองค์ทรงต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น.—มโก. 10:13-16
10. พระเยซูทรงมีคุณลักษณะอย่างที่พระองค์ทรงแสดงออกได้อย่างไร?
10 พระเยซูทรงมีคุณลักษณะอย่างที่พระองค์ทรงแสดงออกขณะอยู่บนแผ่นดินโลกได้อย่างไร? ก่อนพระองค์จะมาเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงสังเกตดูพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์มานานแสนนานและทรงซึมซับวิธีปฏิบัติของพระบิดา. (อ่านสุภาษิต 8:22, 23, 30) ในสวรรค์ พระองค์ทรงเห็นวิธีที่พระยะโฮวาทรงใช้ตำแหน่งประมุขด้วยความรักในการปกครองสิ่งทรงสร้างทั้งสิ้น และทรงดำเนินในแนวทางแบบเดียวกันนั้น. พระเยซูจะทรงทำอย่างนั้นได้ไหมถ้าพระองค์ไม่ยอมรับอำนาจของพระบิดา? พระองค์ทรงยินดีอยู่ใต้อำนาจพระบิดา และพระยะโฮวาทรงยินดีที่มีพระบุตรที่เชื่อฟังเช่นนั้น. เมื่อทรงอยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงสะท้อนคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์อย่างสมบูรณ์แบบ. นับเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่เราอยู่ใต้อำนาจของพระคริสต์ ผู้ปกครองแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้ง!
จงเลียนแบบคุณลักษณะของพระคริสต์
11. (ก) เราควรพยายามเลียนแบบใครอย่างเต็มที่? (ข) เหตุใดผู้ชายในประชาคมควรพยายามเป็นพิเศษในการเลียนแบบพระเยซู?
11 ทุกคนในประชาคมคริสเตียน โดยเฉพาะผู้ชาย ควรพยายามเลียนแบบคุณลักษณะของพระคริสต์อย่างเต็มที่ต่อ ๆ ไป. ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระคริสต์ทรงเป็นประมุขของผู้ชายทุกคน.” เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงเลียนแบบพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ประมุขของพระองค์ ผู้ชายคริสเตียนก็ควรพยายามเลียนแบบพระคริสต์ประมุขของตน. เมื่อเข้ามาเป็นคริสเตียน อัครสาวกเปาโลได้ทำอย่างนั้น. ท่านกระตุ้นเพื่อนคริสเตียนว่า “จงเป็นผู้เลียนแบบข้าพเจ้าเหมือนที่ข้าพเจ้าเป็นผู้เลียนแบบพระคริสต์.” (1 โค. 11:1) และอัครสาวกเปโตรก็กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายถูกเรียกให้เดินตามทางนี้ เพราะแม้แต่พระคริสต์ก็ยังทรงทนทุกข์เพื่อท่านทั้งหลาย ทรงวางแบบอย่างไว้ให้พวกท่านดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์อย่างใกล้ชิด.” (1 เป. 2:21) ยังมีเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ผู้ชายควรสนใจเป็นพิเศษต่อคำเตือนสติที่ให้เลียนแบบพระคริสต์. พวกเขาอาจได้รับสิทธิพิเศษเป็นผู้ปกครองหรือผู้ช่วยงานรับใช้. เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงยินดีเลียนแบบพระยะโฮวา ผู้ชายคริสเตียนก็ควรยินดีเลียนแบบคุณลักษณะของพระคริสต์.
12, 13. ผู้ปกครองควรปฏิบัติอย่างไรต่อแกะที่พวกเขาดูแล?
12 ผู้ปกครองในประชาคมคริสเตียนมีพันธะที่จะเรียนรู้เพื่อจะเป็นเหมือนพระคริสต์. เปโตรกระตุ้นเตือนผู้เฒ่าผู้แก่หรือผู้ปกครองว่า “จงบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าซึ่งอยู่ในความดูแลของท่านทั้งหลาย ไม่ใช่โดยฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะอยากได้ผลประโยชน์ แต่ด้วยความกระตือรือร้น ไม่ใช่เป็นนายเหนือคนเหล่านั้นที่เป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้า แต่เป็นแบบอย่างให้ฝูงแกะนั้น.” (1 เป. 5:1-3) คริสเตียนผู้ปกครองต้องไม่ใช้อำนาจบังคับ, ครอบงำ, ทำตามอำเภอใจ, หรือแข็งกร้าว. ในการทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ พวกเขาพยายามแสดงความรัก, คำนึงถึงผู้อื่น, ถ่อมใจ, และกรุณาเมื่อปฏิบัติต่อแกะที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ดูแล.
13 คนที่นำหน้าในประชาคมเป็นคนไม่สมบูรณ์ และพวกเขาควรตระหนักถึงข้อจำกัดนี้เสมอ. (โรม 3:23) ดังนั้น พวกเขาต้องกระหายที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพระเยซูและเลียนแบบความรักของพระองค์. พวกเขาจำเป็นต้องไตร่ตรองวิธีที่พระเจ้าและพระคริสต์ปฏิบัติต่อผู้คนแล้วก็พยายามเลียนแบบพระองค์ทั้งสอง. เปโตรกระตุ้นเตือนเราว่า “พวกท่านทุกคนจงแสดงความถ่อมใจต่อกันเสมอ เพราะพระเจ้าทรงต่อสู้คนเย่อหยิ่ง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาคนถ่อมใจอย่างใหญ่หลวง.”—1 เป. 5:5
14. ผู้ปกครองควรให้เกียรติผู้อื่นขนาดไหน?
14 ในการปฏิบัติต่อฝูงแกะของพระเจ้า ผู้ชายที่ได้รับการแต่งตั้งในประชาคมต้องแสดงคุณลักษณะที่ดี. โรม 12:10 กล่าวว่า “จงมีความรักใคร่อันอบอุ่นต่อกันฉันพี่น้อง. จงนำหน้าในการให้เกียรติกัน.” ผู้ปกครองและผู้ช่วยงานรับใช้ให้เกียรติกันและกัน. เช่นเดียวกับพี่น้องคริสเตียนทั่วไป ผู้ชายเหล่านี้ต้อง “ไม่ทำอะไรด้วยน้ำใจชิงดีชิงเด่นหรือด้วยความถือดี แต่ให้ถ่อมใจถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว.” (ฟิลิป. 2:3) คนเหล่านั้นที่นำหน้าควรถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง. โดยทำอย่างนี้ ผู้ชายที่ได้รับการแต่งตั้งก็กำลังทำตามคำแนะนำของเปาโลที่ว่า “แต่เราซึ่งเป็นคนที่เข้มแข็งก็ควรอดทนและคอยช่วยคนที่อ่อนแอ และไม่ควรทำตามใจชอบ. ให้เราแต่ละคนทำให้เพื่อนบ้านชอบใจด้วยสิ่งดีที่ช่วยเขาให้เจริญ. เพราะแม้แต่พระคริสต์ก็ไม่ได้ทำตามชอบพระทัยพระองค์.”—โรม 15:1-3
‘ให้เกียรติภรรยา’
15. สามีควรปฏิบัติต่อภรรยาอย่างไร?
15 ตอนนี้ขอให้พิจารณาคำแนะนำของเปโตรที่ให้กับชายที่สมรสแล้ว. ท่านเขียนว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นสามี จงอยู่กับภรรยาต่อ ๆ ไปในลักษณะเดียวกันตามความรู้ ให้เกียรตินางเหมือนเป็นภาชนะที่อ่อนแอกว่า คือเพศหญิง.” (1 เป. 3:7) การให้เกียรติใครคนหนึ่งหมายถึงการถือว่าคนนั้นควรได้รับความเคารพนับถืออย่างยิ่ง. ฉะนั้น คุณจะคำนึงถึงความคิดเห็น, ความจำเป็น, และความต้องการของคนนั้นและอาจยอมทำตามถ้าไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง. นี่คือวิธีที่สามีควรปฏิบัติต่อภรรยา.
16. พระคำของพระเจ้าให้คำเตือนอะไรแก่สามีในเรื่องการให้เกียรติภรรยา?
16 เมื่อแนะนำสามีว่าควรให้เกียรติภรรยา เปโตรยังเตือนด้วยว่า “เพื่อคำอธิษฐานของพวกท่านจะไม่ถูกขัดขวาง.” (1 เป. 3:7) นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระยะโฮวาทรงถือว่าวิธีที่สามีปฏิบัติต่อภรรยาเป็นเรื่องสำคัญ. ถ้าเขาไม่ให้เกียรติเธอ คำอธิษฐานของเขาอาจถูกขัดขวาง. นอกจากนั้น โดยทั่วไปแล้วภรรยาก็จะตอบรับอย่างดีเมื่อสามีปฏิบัติต่อเธออย่างให้เกียรติ.
17. สามีควรรักภรรยามากขนาดไหน?
17 พระคำของพระเจ้าให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักภรรยาว่า “สามีทั้งหลายควรรักภรรยาเหมือนรักกายของตน. . . . เพราะไม่มีใครเกลียดชังร่างกายตนเอง แต่เขาจะเลี้ยงดูและทะนุถนอมร่างกายของตน อย่างที่พระคริสต์ทรงปฏิบัติต่อประชาคม . . . ให้พวกท่านแต่ละคนรักภรรยาเหมือนรักตัวเอง.” (เอเฟ. 5:28, 29, 33) สามีควรรักภรรยามากขนาดไหน? เปาโลเขียนว่า “สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาเสมออย่างที่พระคริสต์ทรงรักประชาคมและได้สละพระองค์เองเพื่อประชาคม.” (เอเฟ. 5:25) ใช่แล้ว สามีควรเต็มใจแม้แต่จะสละชีวิตให้ภรรยา เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อคนอื่น ๆ. เมื่อสามีคริสเตียนปฏิบัติต่อภรรยาอย่างอ่อนโยน, เห็นอกเห็นใจ, เอาใจใส่ดูแล, ไม่เห็นแก่ตัว ภรรยาก็ย่อมจะอ่อนน้อมต่อตำแหน่งประมุขของเขาได้ง่ายขึ้น.
18. มีการจัดเตรียมอะไรที่ช่วยให้ผู้ชายสามารถปฏิบัติต่อภรรยาอย่างให้เกียรติ?
18 การให้เกียรติภรรยาแบบนี้เป็นการคาดหมายจากผู้ที่เป็นสามีมากเกินไปไหม? ไม่เลย พระยะโฮวาไม่เคยขอให้พวกเขาทำอะไรที่เกินความสามารถของพวกเขา. นอกจากนั้น ผู้นมัสการพระยะโฮวาสามารถได้รับพลังที่ทรงพลังที่สุดในเอกภพ ซึ่งก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า. พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเจ้าทั้งหลายซึ่งแม้เป็นคนบาปก็ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตร ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์!” (ลูกา 11:13) ในคำอธิษฐาน สามีสามารถทูลขอให้พระยะโฮวาช่วยเขาโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ในการปฏิบัติต่อผู้อื่นรวมทั้งภรรยาของตนด้วย.—อ่านกิจการ 5:32
19. เราจะพิจารณาอะไรในบทความถัดไป?
19 จริงทีเดียว ผู้ชายมีความรับผิดชอบหนักที่จะเรียนรู้วิธียอมอยู่ใต้อำนาจของพระคริสต์และเลียนแบบการใช้ตำแหน่งประมุขของพระองค์. แต่จะว่าอย่างไรสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นภรรยา? บทความถัดไปจะพิจารณาวิธีที่พวกเธอควรมองบทบาทของตนในการจัดเตรียมของพระยะโฮวา.
-
-
ผู้หญิงทั้งหลาย ทำไมคุณควรอ่อนน้อมต่อตำแหน่งประมุข?หอสังเกตการณ์ 2010 | 15 พฤษภาคม
-
-
ผู้หญิงทั้งหลาย ทำไมคุณควรอ่อนน้อมต่อตำแหน่งประมุข?
“ผู้ชายเป็นประมุขของผู้หญิง.”—1 โค. 11:3
1, 2. (ก) อัครสาวกเปาโลเขียนไว้อย่างไรเกี่ยวกับการจัดเตรียมของพระยะโฮวาในเรื่องตำแหน่งประมุขและการอยู่ใต้อำนาจ? (ข) จะมีการพิจารณาคำถามอะไรในบทความนี้?
พระยะโฮวาทรงจัดลำดับไว้อย่างเป็นระเบียบดังที่อัครสาวกเปาโลกล่าวถึงเมื่อท่านเขียนว่า “พระคริสต์ทรงเป็นประมุขของผู้ชายทุกคน” และ “พระเจ้าทรงเป็นประมุขของพระคริสต์.” (1 โค. 11:3) บทความที่แล้วชี้ว่าพระเยซูทรงยินดีและถือเป็นสิทธิพิเศษที่จะอยู่ใต้อำนาจพระยะโฮวาพระเจ้าประมุขของพระองค์ และพระคริสต์ทรงเป็นประมุขของผู้ชายคริสเตียน. พระคริสต์ทรงกรุณา, สุภาพอ่อนโยน, เห็นอกเห็นใจ, และไม่เห็นแก่ตัวเมื่อทรงติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้คน. ผู้ชายในประชาคมจำเป็นต้องปฏิบัติแบบนั้นต่อผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อภรรยาของตน.
2 แต่จะว่าอย่างไรสำหรับผู้หญิง? ใครเป็นประมุขของพวกเธอ? เปาโลเขียนว่า “ผู้ชายเป็นประมุขของผู้หญิง.” ผู้หญิงควรมีทัศนะอย่างไรต่อคำกล่าวนี้ซึ่งเขียนขึ้นโดยได้รับการดลใจ? หลักการนี้ยังคงใช้ได้ไหมในกรณีที่สามีไม่มีความเชื่อ? เพื่อจะอ่อนน้อมต่อตำแหน่งประมุขของผู้ชาย ภรรยาต้องเป็นเพียงหุ้นส่วนที่ไม่มีบทบาทในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตสมรสไหม? ผู้หญิงต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับคำสรรเสริญ?
“เราจะสร้างผู้ช่วยให้เขาคนหนึ่ง”
3, 4. เหตุใดการจัดเตรียมเกี่ยวกับตำแหน่งประมุขในชีวิตสมรสจึงเป็นประโยชน์?
3 การจัดเตรียมเกี่ยวกับตำแหน่งประมุขมาจากพระเจ้า. หลังจากสร้างอาดามแล้ว พระยะโฮวาพระเจ้าตรัสว่า “ถ้าจะให้มนุษย์อยู่คนเดียวต่อไปก็ไม่เหมาะ. เราจะสร้างผู้ช่วยให้เขาคนหนึ่ง ให้เป็นคู่ของเขา.” เมื่อพระเจ้าทรงสร้างฮาวา อาดามยินดีอย่างยิ่งที่มีคู่และผู้ช่วยจนถึงกับพูดออกมาว่า “นี่เป็นกระดูกจากกระดูกของเรา และเป็นเนื้อจากเนื้อของเรา.” (เย. 2:18-24, ล.ม.) อาดามและฮาวามีโอกาสอันยอดเยี่ยมที่จะได้เป็นพ่อแม่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งสิ้นที่เป็นคนสมบูรณ์ซึ่งจะมีชีวิตตลอดไปอย่างมีความสุขในอุทยานทั่วทั้งโลก.
4 เนื่องจากบิดามารดาคู่แรกของเราขืนอำนาจ สภาพสมบูรณ์ในสวนเอเดนจึงสูญเสียไป. (อ่านโรม 5:12) แต่การจัดเตรียมเกี่ยวกับตำแหน่งประมุขยังคงมีผลบังคับใช้. เมื่อปฏิบัติตามอย่างเหมาะสม นั่นย่อมก่อให้เกิดประโยชน์และความสุขอย่างยิ่งในชีวิตสมรส. ผลที่ได้รับจะคล้ายกับที่พระเยซูทรงรู้สึกเกี่ยวกับการอยู่ใต้อำนาจพระยะโฮวา ประมุขของพระองค์. ก่อนจะมาเป็นมนุษย์ พระเยซู “ชื่นชมยินดีเฉพาะพระพักตร์ [พระยะโฮวา] ตลอดเวลา.” (สุภา. 8:30, ล.ม.) เนื่องจากความไม่สมบูรณ์ ผู้ชายจึงไม่สามารถเป็นประมุขที่สมบูรณ์ได้อีกต่อไป และผู้หญิงก็ไม่สามารถอยู่ใต้อำนาจได้อย่างสมบูรณ์. แต่เมื่อสามีภรรยาพยายามเต็มที่ต่อ ๆ ไปเท่าที่จะทำได้ การจัดเตรียมนี้ย่อมจะก่อผลเป็นความอิ่มใจยินดีอย่างมากมายเท่าที่จะเป็นไปได้ในชีวิตสมรสเวลานี้.
5. เหตุใดคู่สมรสควรสนใจคำแนะนำในโรม 12:10?
5 สิ่งสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตสมรสประสบความสำเร็จคือการที่คู่สมรสใช้คำแนะนำในพระคัมภีร์ที่ให้แก่คริสเตียนทุกคน ที่ว่า “จงมีความรักใคร่อันอบอุ่นต่อกันฉันพี่น้อง. จงนำหน้าในการให้เกียรติกัน.” (โรม 12:10) นอกจากนั้น ทั้งสามีและภรรยาควรพยายาม “กรุณาต่อกัน แสดงความเห็นใจกัน ให้อภัยกันอย่างใจกว้าง.”—เอเฟ. 4:32
เมื่อคู่สมรสไม่มีความเชื่อ
6, 7. อาจเกิดผลเช่นไรถ้าภรรยาคริสเตียนอ่อนน้อมต่ออำนาจของสามีที่ไม่มีความเชื่อ?
6 จะว่าอย่างไรถ้าคู่สมรสไม่ได้เป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวา? บ่อยครั้ง สามีเป็นฝ่ายที่ไม่มีความเชื่อ. ในกรณีนี้ ภรรยาควรปฏิบัติต่อเขาอย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลให้คำตอบว่า “ให้ท่านทั้งหลายที่เป็นภรรยายอมเชื่อฟังสามีของตน เพื่อว่าถ้าสามีคนใดไม่เชื่อฟังพระคำ การประพฤติของภรรยาก็อาจชนะใจเขาโดยไม่ต้องเอ่ยปาก เนื่องจากเขาได้เห็นการประพฤติอันบริสุทธิ์พร้อมกับความนับถืออย่างสุดซึ้งของท่านทั้งหลาย.”—1 เป. 3:1, 2
7 พระคำของพระเจ้าบอกภรรยาให้รักษาทัศนคติในการอ่อนน้อมต่ออำนาจของสามีที่ไม่มีความเชื่อ. การประพฤติที่ดีของเธออาจส่งผลทำให้เขาพิจารณาว่าอะไรกระตุ้นให้เธอมีความประพฤติที่ดีอย่างนั้น. ผลก็คือ สามีอาจพิจารณาความเชื่อของภรรยาที่เป็นคริสเตียนและยอมรับความจริงในที่สุด.
8, 9. ภรรยาคริสเตียนสามารถทำอะไรได้ถ้าสามีที่ไม่มีความเชื่อไม่ตอบรับต่อการประพฤติที่ดีของเธอ?
8 แต่จะว่าอย่างไรถ้าสามีที่ไม่มีความเชื่อไม่ตอบรับต่อการประพฤติที่ดีของภรรยา? พระคัมภีร์สนับสนุนภรรยาที่มีความเชื่อให้แสดงคุณลักษณะแบบคริสเตียนตลอดเวลา ไม่ว่าการทำอย่างนี้อาจเป็นเรื่องยากสักเพียงไรก็ตาม. ตัวอย่างเช่น เราอ่านที่ 1 โครินท์ 13:4 ว่า “ความรักอดกลั้นไว้นาน.” ภรรยาที่เป็นคริสเตียนจึงควรประพฤติ “ด้วยความถ่อมใจและความอ่อนโยนอย่างยิ่ง ด้วยความอดกลั้นไว้นาน” ต่อ ๆ ไป และอดทนกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วยความรัก. (เอเฟ. 4:2) ด้วยความช่วยเหลือจากพลังปฏิบัติการของพระเจ้าหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เราจึงสามารถรักษาคุณลักษณะแบบคริสเตียนแม้ว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก.
9 เปาโลเขียนว่า “ข้าพเจ้ามีกำลังสำหรับทุกสิ่งโดยพระองค์ผู้ทรงประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า.” (ฟิลิป. 4:13) พระวิญญาณของพระเจ้าช่วยคู่สมรสคริสเตียนให้สามารถทำหลายสิ่งที่คงทำไม่ได้ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณ. ตัวอย่างเช่น เมื่อถูกคู่สมรสปฏิบัติอย่างโหดร้าย คริสเตียนอาจถูกล่อใจให้แก้เผ็ด. แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกคริสเตียนทุกคนว่า “อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย. . . . เพราะมีคำเขียนไว้ดังนี้ ‘พระยะโฮวาตรัสว่า การแก้แค้นเป็นธุระของเรา เราจะตอบแทน.’ ” (โรม 12:17-19) คล้ายกัน 1 เทสซาโลนิเก 5:15 แนะนำเราว่า “ระวังอย่าให้ใครทำการชั่วตอบแทนการชั่วต่อผู้ใด แต่จงพยายามทำดีต่อกันและต่อคนทั้งปวงเสมอ.” เมื่อเราได้รับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา เราสามารถทำสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้ถ้าอาศัยกำลังของเราเอง. จึงเป็นเรื่องเหมาะสมสักเพียงไรที่เราจะอธิษฐานขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าประทานสิ่งที่เรายังขาดอยู่!
10. พระเยซูทรงปฏิบัติอย่างไรเมื่อคนอื่นพูดและทำไม่ดีต่อพระองค์?
10 พระเยซูทรงวางตัวอย่างที่โดดเด่นในการปฏิบัติต่อคนที่พูดหรือทำไม่ดีต่อพระองค์. 1 เปโตร 2:23 กล่าวว่า “เมื่อพระองค์ถูกด่า พระองค์ไม่ได้ด่าตอบ. เมื่อพระองค์ทนทุกข์ทรมาน พระองค์ไม่ได้ขู่ แต่ทรงฝากพระองค์เองไว้กับพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาด้วยความชอบธรรม.” เราถูกกระตุ้นให้ทำตามแบบอย่างที่ดีของพระองค์. อย่าให้การประพฤติที่ไม่ดีของคนอื่นทำให้เราโกรธ. ดังที่คริสเตียนทุกคนได้รับคำแนะนำ จงมี “ความเอ็นดูสงสาร ความถ่อมใจ ไม่ตอบโต้การร้ายด้วยการร้าย หรือตอบโต้การด่าด้วยการด่า.”—1 เป. 3:8, 9
เป็นเพียงหุ้นส่วนที่ไม่มีบทบาทหรือ?
11. ผู้หญิงคริสเตียนบางคนจะมีส่วนร่วมในสิทธิพิเศษอะไร?
11 การที่ผู้หญิงอ่อนน้อมต่อตำแหน่งประมุขของสามีหมายความไหมว่าเธอเป็นเพียงหุ้นส่วนที่ไม่มีบทบาทในครอบครัวหรือในเรื่องอื่น ๆ? ไม่เป็นเช่นนั้นเลย. พระยะโฮวาประทานสิทธิพิเศษมากมายให้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง. ลองนึกถึงเกียรติอันใหญ่หลวงที่ชน 144,000 คนมีในฐานะที่เป็นกษัตริย์และปุโรหิตในสวรรค์ภายใต้การนำของพระคริสต์เมื่อพระองค์ทรงปกครองแผ่นดินโลกนี้! ในบรรดาคนเหล่านี้มีผู้หญิงรวมอยู่ด้วย. (กลา. 3:26-29) เห็นได้ชัดว่า พระยะโฮวาทรงโปรดให้ผู้หญิงมีบทบาทในการจัดเตรียมของพระองค์.
12, 13. มีตัวอย่างอะไรที่แสดงว่ามีผู้หญิงบางคนกล่าวคำพยากรณ์?
12 ตัวอย่างเช่น ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลมีผู้หญิงบางคนกล่าวคำพยากรณ์. โยเอล 2:28, 29 บอกล่วงหน้าว่า “เราจะหลั่งพระวิญญาณของเราลงมาบนมนุษย์ทั้งปวง; และบุตราบุตรีของเจ้าทั้งหลายจะกล่าวคำพยากรณ์, . . . ในคราวนั้นเราจะหลั่งพระวิญญาณของเรามาบนทาสาทาสี.”
13 ในบรรดาสาวกประมาณ 120 คนของพระเยซูซึ่งมารวมตัวกันที่ห้องชั้นบนในกรุงเยรูซาเลมในวันเพนเทคอสต์สากลศักราช 33 มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง. พระวิญญาณของพระเจ้าได้หลั่งลงเหนือคนเหล่านี้ทั้งกลุ่ม. ด้วยเหตุนั้น เปโตรสามารถอ้างถึงถ้อยคำที่ผู้พยากรณ์โยเอลบอกไว้ล่วงหน้าและใช้คำพยากรณ์นี้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง. เปโตรกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นไปตามคำที่ผู้พยากรณ์โยเอลกล่าวไว้ว่า ‘พระเจ้าตรัสว่า “ในสมัยสุดท้าย เราจะเทวิญญาณของเราลงบนคนทุกชนิด บุตรชายหญิงของเจ้าทั้งหลายจะพยากรณ์ . . . และในเวลานั้นเราจะเทวิญญาณของเราลงบนทาสชายหญิงของเราด้วย และพวกเขาจะพยากรณ์.”’ ”—กิจ. 2:16-18
14. ผู้หญิงมีบทบาทอะไรในการเผยแพร่ศาสนาคริสเตียนในยุคแรก?
14 ในศตวรรษแรก ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาคริสเตียน. ผู้หญิงในสมัยนั้นประกาศเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าแก่คนอื่น ๆ และทำหลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานประกาศ. (ลูกา 8:1-3) ตัวอย่างเช่น อัครสาวกเปาโลกล่าวถึงฟอยเบว่าเป็น “พี่น้องหญิงของเราซึ่งรับใช้อยู่ในประชาคมที่เมืองเค็นครีเอ.” และเมื่อฝากความคิดถึงไปยังเพื่อนร่วมความเชื่อ เปาโลกล่าวถึงพี่น้องหญิงที่ซื่อสัตย์หลายคน รวมทั้ง “ตริเฟนากับตริโฟซา พี่น้องหญิงที่ทำงานหนักเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า.” ท่านยังกล่าวถึง “เปอร์ซิสพี่น้องที่รักของเรา เพราะนางทำงานหนักในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า.”—โรม 16:1, 12
15. ผู้หญิงมีบทบาทอะไรในการเผยแพร่ศาสนาคริสเตียนในทุกวันนี้?
15 ทุกวันนี้ ในจำนวนเจ็ดล้านกว่าคนที่ประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าตลอดทั่วโลกส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ซึ่งมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่. (มัด. 24:14) หลายคนเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา, มิชชันนารี, และสมาชิกครอบครัวเบเธล. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญร้องเพลงดังนี้: “พระเจ้าทรงประทานพระวจนะ; สตรีที่ประกาศข่าวประเสริฐนั้นเป็นพวกใหญ่.” (เพลง. 68:11) ถ้อยคำนี้เป็นความจริง! พระยะโฮวาทรงเห็นค่างานที่ผู้หญิงทำในการประกาศข่าวดีและในการทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ. แน่นอน การที่พระองค์ประสงค์ให้ผู้หญิงคริสเตียนอยู่ใต้อำนาจนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเธอไม่มีบทบาทใด ๆ.
ผู้หญิงสองคนที่ไม่นิ่งเฉย
16, 17. ตัวอย่างของซาราห์แสดงให้เห็นอย่างไรว่าผู้หญิงไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนที่ไม่มีบทบาทในชีวิตสมรส?
16 ในเมื่อพระยะโฮวาประทานสิทธิพิเศษมากมายแก่ผู้หญิง สามีน่าจะขอความเห็นจากภรรยาก่อนตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ มิใช่หรือ? นับว่าฉลาดสุขุมที่เขาจะทำอย่างนั้น. พระคัมภีร์กล่าวถึงหลายเหตุการณ์ที่ภรรยาพูดหรือทำอะไรบางอย่าง แม้ว่าสามีไม่ได้ขอให้เธอแสดงความเห็น. ขอพิจารณาสองตัวอย่าง.
17 ซาราห์ ภรรยาของปฐมบรรพบุรุษอับราฮามบอกอับราฮามหลายครั้งให้ไล่ภรรยาคนที่สองกับลูกชายของเธอไปเพราะทั้งสองคนขาดความนับถือ. “อับราฮามเสียใจมาก” แต่พระเจ้าไม่ทรงรู้สึกอย่างนั้น. พระยะโฮวาทรงบอกอับราฮามว่า “อย่าให้ใจของเจ้าเป็นทุกข์ร้อนด้วยเด็กและหญิงทาสีของเจ้านั้นเลย. จงเชื่อฟังถ้อยคำทั้งหมดที่นางซาราได้พูดกับเจ้าเถิด.” (เย. 21:8-12) อับราฮามเชื่อฟังพระยะโฮวา ท่านรับฟังซาราห์และทำตามที่เธอขอร้อง.
18. อะบีฆายิลริเริ่มทำอะไร?
18 ขอให้นึกถึงตัวอย่างของอะบีฆายิลภรรยาของนาบาลด้วย. ในช่วงที่หนีกษัตริย์ซาอูลที่มีใจอิจฉาริษยา ดาวิดได้ตั้งค่ายอยู่ใกล้ ๆ กับฝูงแกะของนาบาลชั่วระยะหนึ่ง. แทนที่จะแย่งชิงทรัพย์สมบัติมากมายของชายที่มั่งคั่งผู้นี้ ดาวิดและคนของท่านช่วยปกป้องดูแลทรัพย์สมบัติของเขา. อย่างไรก็ตาม นาบาล “เป็นคนเลวทราม” และเขา “ดุ” คนของดาวิด. เขา “เป็นคนพาล” และ “ความโฉดเขลาอยู่ที่เขา.” เมื่อคนของดาวิดขออาหารด้วยกิริยาท่าทีที่แสดงความนับถือ นาบาลไม่ยอมให้. อะบีฆายิลแสดงปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเธอได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น? โดยที่ไม่ได้บอกนาบาล เธอ “รีบจัดแจงขนมสองร้อยก้อน, น้ำองุ่นสองขวดหนัง, แกะห้าตัว, เตรียมไว้พร้อม, ข้าวคั่วห้าถัง, ลูกองุ่นร้อยพวง, และขนมมะเดื่อเทศสองร้อยแผ่น” แล้วก็นำไปให้ดาวิดกับคนของท่าน. สิ่งที่อะบีฆายิลทำนั้นถูกต้องไหม? เราเห็นว่าเป็นอย่างนั้น เพราะคัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระยะโฮวาทรงลงโทษนาบาลจนถึงแก่ชีวิต.” ในเวลาต่อมา ดาวิดได้แต่งงานกับอะบีฆายิล.—1 ซามู. 25:3, 14-19, 23-25, 38-42
‘สตรีที่ได้รับคำชมเชย’
19, 20. อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงสมควรได้รับคำสรรเสริญอย่างแท้จริง?
19 พระคัมภีร์ชมเชยภรรยาที่ทำตามแนวทางของพระยะโฮวา. หนังสือสุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลยกย่อง “ภรรยาที่ดี” โดยกล่าวว่า “เธอประเสริฐยิ่งกว่าทับทิมมากนัก จิตใจของสามีเธอก็วางใจในเธอ และสามีจะไม่ขาดกำไร เธอทำความดีให้เขาไม่ทำความร้ายตลอดชีวิตของเธอ.” นอกจากนั้น “เธออ้าปากกล่าวด้วยสติปัญญาและคำสอนเจือความเอ็นดูอยู่ที่ลิ้นของเธอ เธอดูแลการงานในครัวเรือนของเธอและไม่ชุบมือเปิบ ลูก ๆ ของเธอตื่นขึ้นมาก็ชมเชยเธอ สามีของเธอก็สรรเสริญเธอ.”—สุภา. 31:10-12, 26-28, ฉบับ R73
20 อะไรทำให้ผู้หญิงสมควรจะได้รับคำสรรเสริญอย่างแท้จริง? สุภาษิต 31:30 กล่าวว่า “ท่าทางนวยนาดเป็นของลวง, และความสวยงามเป็นของไม่เที่ยง; แต่สตรีที่ยำเกรงพระยะโฮวานั้นจะรับคำชมเชย.” สิ่งหนึ่งที่รวมอยู่ด้วยในความยำเกรงพระยะโฮวาก็คือการที่สตรีจำเป็นจะต้องเต็มใจอ่อนน้อมต่อการจัดเตรียมของพระเจ้าเกี่ยวกับตำแหน่งประมุข. “ผู้ชายเป็นประมุขของผู้หญิง” เช่นเดียวกับที่ “พระคริสต์ทรงเป็นประมุขของผู้ชายทุกคน” และ “พระเจ้าทรงเป็นประมุขของพระคริสต์.”—1 โค. 11:3
จงแสดงความขอบคุณสำหรับของประทานจากพระเจ้า
21, 22. (ก) คริสเตียนที่แต่งงานแล้วมีเหตุผลอะไรที่จะขอบคุณสำหรับการสมรสซึ่งเป็นของประทานที่ได้รับจากพระเจ้า? (ข) เหตุใดเราควรแสดงความนับถือต่อการจัดเตรียมของพระยะโฮวาในเรื่องอำนาจและตำแหน่งประมุข? (โปรดดูกรอบในหน้า 17.)
21 คริสเตียนที่สมรสแล้วมีเหตุผลมากมายที่จะแสดงความขอบคุณต่อพระเจ้า! พวกเขาสามารถเดินเคียงคู่กันในฐานะคู่สมรสที่มีความสุข. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาสามารถขอบคุณสำหรับการสมรสซึ่งเป็นพระพรและเป็นของประทานจากพระเจ้า เพราะของประทานนี้ทำให้พวกเขามีโอกาสได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างกลมเกลียวและดำเนินกับพระยะโฮวา. (รูธ. 1:9; มีคา 6:8) พระองค์ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งการสมรสทรงทราบดีว่าต้องทำอย่างไรจึงจะมีความสุขในชีวิตสมรส. จงทำทุกสิ่งตามแนวทางของพระองค์เสมอ แล้ว ‘ความยินดีในพระยะโฮวาจะเป็นป้อมของคุณ’ แม้ว่าอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากในทุกวันนี้.—นเฮม. 8:10
22 สามีคริสเตียนที่รักภรรยาเหมือนรักตัวเองจะใช้ตำแหน่งประมุขอย่างอ่อนโยนและคำนึงถึงความรู้สึกของภรรยา. ภรรยาที่เลื่อมใสพระเจ้าจะเป็นคนที่น่ารักอย่างแท้จริง เพราะเธอพร้อมจะสนับสนุนและแสดงความนับถืออย่างสุดซึ้งต่อสามี. สำคัญที่สุดคือ ชีวิตสมรสที่เป็นแบบอย่างที่ดีของพวกเขาจะเป็นการแสดงความนับถือต่อพระยะโฮวา พระเจ้าที่เราควรยกย่องสรรเสริญ.
-