บท 14
จงเป็นคนซื่อสัตย์ในทุกสิ่ง
“เราปรารถนาจะประพฤติตัวซื่อสัตย์ในทุกสิ่ง.”—ฮีบรู 13:18.
1, 2. เหตุใดพระยะโฮวาพอพระทัยเมื่อเห็นว่าเราพยายามจะเป็นคนซื่อสัตย์? จงยกตัวอย่าง.
แม่กับลูกชายตัวน้อยเดินออกจากร้านค้าด้วยกัน. ทันใดนั้น เด็กน้อยก็หยุดชะงัก มีสีหน้าตกใจ. เขาหยิบของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ในร้านติดมือมาด้วย. เขาลืมเอาของกลับไปวางไว้ที่เดิม ทั้งไม่ได้ถามแม่ว่าจะซื้อของเล่นนั้นให้เขาหรือไม่. เขาร้องบอกแม่ด้วยความกังวล. แม่ปลอบลูกแล้วพากลับไปที่ร้าน เด็กน้อยสามารถคืนของนั้นและกล่าวคำขอโทษ. เมื่อลูกทำเช่นนี้ แม่รู้สึกปีติยินดีและภูมิใจอย่างยิ่ง. เพราะเหตุใด?
2 บิดามารดารู้สึกปีติยินดีเสมอเมื่อเห็นว่าบุตรเรียนรู้คุณค่าของความซื่อสัตย์. พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ “พระเจ้าแห่งความสัตย์จริง” ก็ทรงรู้สึกเช่นนั้นด้วย. (บทเพลงสรรเสริญ 31:5) ขณะที่พระองค์ทรงเฝ้าดูเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ พระองค์พอพระทัยที่เห็นเราพยายามจะเป็นคนซื่อสัตย์. เนื่องจากเราต้องการทำให้พระองค์พอพระทัยและเป็นที่รักของพระองค์เสมอ เราจึงสะท้อนความรู้สึกที่อัครสาวกเปาโลได้แสดงออกมาที่ว่า “เราปรารถนาจะประพฤติตัวซื่อสัตย์ในทุกสิ่ง.” (ฮีบรู 13:18) ให้เรามุ่งความสนใจไปที่สี่ขอบเขตสำคัญในชีวิตซึ่งบางครั้งเราอาจพบว่าการเป็นคนซื่อสัตย์ในขอบเขตเหล่านั้นนับว่ายากเป็นพิเศษ. ต่อจากนั้น เราจะพิจารณาผลประโยชน์บางอย่างจากการเป็นคนซื่อสัตย์.
การเป็นคนซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
3-5. (ก) พระคำของพระเจ้าเตือนเราอย่างไรในเรื่องอันตรายของการหลอกตัวเอง? (ข) อะไรจะช่วยเราให้เป็นคนซื่อสัตย์ต่อตัวเอง?
3 ข้อท้าทายแรกที่เราเผชิญคือการเรียนรู้ที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ต่อตัวเอง. ง่ายทีเดียวที่เราซึ่งเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์จะหลอกตัวเอง. ตัวอย่างเช่น พระเยซูได้บอกคริสเตียนในเมืองลาโอดิเคียว่าพวกเขาหลอกตัวเองโดยคิดว่าตนร่ำรวย ทั้ง ๆ ที่ตามจริงแล้วเขา “ยากจน ตาบอด และเปลือยกาย” ทางฝ่ายวิญญาณ—เป็นสภาพที่น่าสังเวชจริง ๆ. (วิวรณ์ 3:17) การหลอกตัวเองมีแต่จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น.
4 คุณอาจจำได้เช่นกันที่อัครสาวกยาโกโบได้เตือนว่า “ถ้าใครคิดว่าเขานมัสการพระเจ้าอย่างถูกวิธี แต่ไม่ได้บังคับลิ้นของตนทั้งยังลวงตนเอง การนมัสการของเขาก็ไร้ประโยชน์.” (ยาโกโบ 1:26) หากเราคิดว่าเราสามารถใช้ลิ้นอย่างไม่สมควรและยังนมัสการอย่างที่พระยะโฮวาพอพระทัยได้ เราคงได้แต่หลอกตัวเองเท่านั้น. การที่เรานมัสการพระยะโฮวาคงจะไร้ประโยชน์ เป็นความสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง. อะไรจะป้องกันเราไว้จากแนวทางที่ก่อผลเสียหายเช่นนั้น?
5 ในข้อคัมภีร์ก่อนหน้านั้น ยาโกโบเปรียบความจริงในพระคำของพระเจ้าเหมือนกระจก. ท่านแนะนำเราให้พินิจพิจารณากฎหมายอันสมบูรณ์ของพระเจ้า แล้วปรับเปลี่ยนให้ประสานกับกฎหมายนั้น. (ยาโกโบ 1:23-25) คัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยเราให้เป็นคนซื่อสัตย์ต่อตัวเองและมองเห็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำเพื่อปรับปรุงตัว. (บทเพลงร้องทุกข์ของยิระมะยา 3:40; ฮาฆี 1:5) นอกจากนี้ เราอาจอธิษฐานขอพระยะโฮวาให้ตรวจดูเรา ช่วยเรามองเห็นและแก้ไขข้อบกพร่องร้ายแรงใด ๆ ในตัวเรา. (บทเพลงสรรเสริญ 139:23, 24) ความไม่ซื่อสัตย์เป็นความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ และเราต้องมองเรื่องนี้เหมือนที่พระบิดาฝ่ายสวรรค์ทรงมอง. สุภาษิต 3:32 (ล.ม.) กล่าวว่า “คนปลิ้นปล้อนเป็นที่สะอิดสะเอียนแก่พระยะโฮวา แต่พระองค์สนิทสนมกับคนซื่อตรง.” พระยะโฮวาสามารถช่วยเราให้รู้สึกเหมือนที่พระองค์รู้สึกและมองเห็นตัวเราอย่างที่พระองค์ทรงเห็น. อย่าลืมที่เปาโลได้กล่าวว่า “เราปรารถนา จะประพฤติตัวซื่อสัตย์ในทุกสิ่ง.” เราไม่สามารถเป็นคนสมบูรณ์ได้ในตอนนี้ แต่เราปรารถนาอย่างจริงใจและพยายามอย่างจริงจังที่จะเป็นคนซื่อสัตย์.
ความซื่อสัตย์ในครอบครัว
6. เหตุใดคู่สมรสต้องซื่อสัตย์ต่อกัน และด้วยเหตุนี้เขาจึงหลีกเลี่ยงอะไรบ้างซึ่งเป็นอันตราย?
6 ความซื่อสัตย์ควรเป็นลักษณะเด่นของครอบครัวคริสเตียน. ดังนั้น สามีและภรรยาต้องไม่ปิดบังกันและซื่อสัตย์ต่อกัน. ชีวิตสมรสของคริสเตียนไม่ควรมีกิจปฏิบัติที่ไม่สะอาดซึ่งก่อความเสียหาย เช่น การแสดงความสนใจในเชิงรัก ๆ ใคร่ ๆ กับคนที่ไม่ใช่คู่สมรสของตน, การพัฒนาความสัมพันธ์แบบลับ ๆ ทางอินเทอร์เน็ต, หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับสื่อลามกไม่ว่ารูปแบบใด. คริสเตียนที่สมรสแล้วบางคนได้ประพฤติผิดดังกล่าวโดยปิดบังไม่ให้คู่ของตนรู้. การทำเช่นนั้นเป็นความไม่ซื่อสัตย์. ขอสังเกตถ้อยคำของกษัตริย์ดาวิดผู้ซื่อสัตย์ที่ว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้นั่งกับคนอสัตย์; และข้าพเจ้าไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคนอำพรางตัว.” (บทเพลงสรรเสริญ 26:4, ล.ม.) หากคุณแต่งงานแล้ว ขออย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการประพฤติที่คุณไม่อยากให้คู่สมรสรู้.
7, 8. ตัวอย่างอะไรบ้างในคัมภีร์ไบเบิลที่สามารถช่วยเด็ก ๆ ให้เรียนรู้คุณประโยชน์ของการเป็นคนซื่อสัตย์?
7 เมื่อสอนบุตรถึงคุณประโยชน์ของการเป็นคนซื่อสัตย์ นับว่าฉลาดที่บิดามารดาจะใช้ตัวอย่างจากคัมภีร์ไบเบิล. มีบางตัวอย่างเกี่ยวกับความไม่ซื่อสัตย์ เช่น เรื่องของอาคานผู้ซึ่งขโมยและพยายามปกปิดความผิด; เฆฮะซีผู้ซึ่งโกหกเพราะเห็นแก่ทรัพย์สินเงินทอง; และยูดาซึ่งขโมยและโกหกเพื่อก่อความเสียหายต่อพระเยซูโดยแกล้งทำเป็นมิตรกับพระองค์.—ยะโฮซูอะ 6:17-19; 7:11-25; 2 กษัตริย์ 5:14-16, 20-27; มัดธาย 26:14, 15; โยฮัน 12:6.
8 มีตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ เช่น เรื่องราวของยาโคบซึ่งได้เร่งเร้าเหล่าบุตรชายให้เอาเงินที่พบในถุงกลับไปคืน เพราะท่านเข้าใจว่าอาจมีการใส่เงินไว้ด้วยความผิดพลาด; เรื่องเกี่ยวกับยิพธาและลูกสาวซึ่งได้ยอมทำตามคำปฏิญาณของบิดาโดยที่ต้องเสียสละอย่างมากทีเดียว; และเรื่องที่พระเยซูกล้าแสดงตัวต่อหน้าฝูงชนที่มุ่งร้ายเพื่อจะทำให้คำพยากรณ์สำเร็จและปกป้องมิตรสหายของพระองค์ไว้. (เยเนซิศ 43:12; วินิจฉัย 11:30-40; โยฮัน 18:3-11) ตัวอย่างเหล่านี้บางเรื่องอาจให้ข้อคิดแก่บิดามารดาว่ามีเรื่องราวที่มีค่าในพระคำของพระเจ้าซึ่งสามารถช่วยเขาสอนบุตรให้รักและเห็นคุณค่าของความซื่อสัตย์.
9. บิดามารดาควรหลีกเลี่ยงอะไรหากเขาต้องการวางตัวอย่างเรื่องความซื่อสัตย์ไว้ให้บุตร และเหตุใดตัวอย่างเช่นนั้นนับว่าสำคัญ?
9 การสอนดังกล่าวทำให้บิดามารดามีหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญ. อัครสาวกเปาโลได้ถามว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ ท่านผู้สอนคนอื่นไม่ได้สอนตนเองหรือ? ท่านผู้สอนว่า ‘อย่าขโมย’ ท่านเองขโมยหรือ?” (โรม 2:21) บิดามารดาบางคนทำให้บุตรสับสนโดยสอนเรื่องความซื่อสัตย์ขณะที่ตัวเขาเองประพฤติไม่ซื่อสัตย์. เขาอาจอ้างเหตุผลสำหรับการขโมยเล็ก ๆ น้อย ๆ และการใช้คำพูดที่ไม่จริงด้วยข้อแก้ตัวต่าง ๆ เช่น “บริษัทก็รู้อยู่แล้วว่าลูกจ้างจะเอาของเหล่านี้ไปใช้ส่วนตัว” หรือไม่ก็พูดว่า “ก็แค่โกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีอะไรผิดหรอก.” ตามจริงแล้ว การขโมยก็คือการขโมย ไม่ว่าของที่ขโมยไปนั้นจะมีค่าหรือไม่ก็ตาม และการโกหกก็คือการโกหกไม่ว่าเนื้อหาหรือขอบเขตของความไม่จริงจะเป็นเช่นไรก็ตาม.a (ลูกา 16:10) เด็ก ๆ ไวมากในการสังเกตเห็นความหน้าซื่อใจคดและอาจได้รับผลเสียหายร้ายแรงจากการกระทำดังกล่าว. (เอเฟโซส์ 6:4) อย่างไรก็ดี เมื่อเรียนรู้ความซื่อสัตย์จากตัวอย่างของบิดามารดา ก็เป็นไปได้มากที่เด็กจะเติบโตขึ้นเพื่อยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาในโลกที่ไม่ซื่อสัตย์นี้.—สุภาษิต 22:6.
ความซื่อสัตย์ในประชาคม
10. ในการสนทนากันระหว่างเพื่อนร่วมความเชื่อ เราต้องระวังอะไรเสมอ?
10 การคบหากับเพื่อนคริสเตียนทำให้เรามีหลายโอกาสที่จะพัฒนาความซื่อสัตย์. ดังที่เราได้เรียนในบท 12 เราต้องระวังวิธีที่เราใช้ของประทานในการพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางพี่น้องร่วมความเชื่อของเรา. การสนทนาทั่ว ๆ ไปอาจเปลี่ยนเป็นการซุบซิบนินทาที่ก่อความเสียหายได้อย่างง่ายดาย ถึงกับเป็นการใส่ร้ายด้วยซ้ำ! หากเราเอาเรื่องที่ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ไปเล่าต่อ เราก็อาจช่วยแพร่คำโกหก ดังนั้น การยับยั้งริมฝีปากของเราไว้คงจะดีกว่ามาก. (สุภาษิต 10:19) ในอีกด้านหนึ่ง เราอาจรู้ว่าบางเรื่องเป็นเรื่องจริง แต่นั่นมิได้หมายความว่าเราควรพูดเรื่องนั้น. ตัวอย่างเช่น เรื่องนั้นอาจไม่ใช่ธุระของเรา หรือการพูดเรื่องนั้นอาจเป็นการไม่แสดงความกรุณา. (1 เทสซาโลนิเก 4:11) บางคนใช้คำพูดหยาบคายโดยอ้างว่าเป็นการพูดที่ตรงไปตรงมา แต่คำพูดของเราควรน่าฟังและแสดงความกรุณาเสมอ.—โกโลซาย 4:6.
11, 12. (ก) บางคนที่ได้กระทำผิดร้ายแรงได้ทำให้ปัญหาหนักขึ้นโดยวิธีใด? (ข) คำโกหกอะไรบ้างที่ซาตานส่งเสริมเกี่ยวกับบาปที่ร้ายแรง และเราอาจต้านทานคำโกหกเหล่านั้นได้โดยวิธีใด? (ค) เราจะแสดงตัวว่าซื่อสัตย์ต่อองค์การของพระยะโฮวาได้โดยวิธีใด?
11 การเป็นคนซื่อสัตย์ต่อผู้ที่นำหน้าในประชาคมนับว่าสำคัญเป็นพิเศษ. บางคนที่ได้กระทำผิดร้ายแรงได้ทำให้ปัญหาหนักขึ้นโดยพยายามปกปิดบาปของตนและโกหกผู้ปกครองในประชาคมเมื่อถูกซักถามเกี่ยวกับความผิดนั้น. เขาถึงกับเริ่มดำเนินชีวิตแบบตีสองหน้า โดยทำทีว่ารับใช้พระยะโฮวา ขณะที่ยังคงมุ่งดำเนินในแนวทางของบาปที่ร้ายแรงต่อไป. ที่แท้แล้ว วิธีดำเนินชีวิตแบบนั้นทำให้ทุกสิ่งที่คนนั้นทำล้วนเป็นการโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น. (บทเพลงสรรเสริญ 12:2) บางคนบอกความจริงบางส่วนแก่ผู้ปกครองขณะที่ปิดบังข้อเท็จจริงที่สำคัญไว้. (กิจการ 5:1-11) บ่อยครั้ง ความไม่ซื่อสัตย์เช่นนั้นเกิดจากการเชื่อคำโกหกที่ซาตานส่งเสริม.—ดูกรอบ “คำโกหกแบบซาตานเกี่ยวกับบาปที่ร้ายแรง.”
12 นับว่าสำคัญด้วยที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ต่อองค์การของพระยะโฮวาเมื่อกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ. ตัวอย่างเช่น เมื่อเรารายงานการรับใช้ของเรา เราต้องระวังที่จะไม่รายงานผิดไปจากที่เป็นจริง. คล้ายกัน เมื่อเรากรอกใบสมัครเพื่อได้รับสิทธิพิเศษในงานรับใช้บางอย่าง เราไม่ควรแจ้งเท็จเรื่องสุขภาพที่เราเป็นอยู่จริง ๆ หรือแง่มุมอื่น ๆ เกี่ยวกับประวัติของเรา.—สุภาษิต 6:16-19.
13. เราจะรักษาความซื่อสัตย์ได้โดยวิธีใดหากเรามีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับเพื่อนร่วมความเชื่อ?
13 ความซื่อสัตย์ต่อเพื่อนร่วมความเชื่อยังรวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจด้วย. บางครั้ง คริสเตียนอาจติดต่อเกี่ยวข้องกันทางธุรกิจ. พวกเขาควรระวังที่จะแยกเรื่องธุรกิจไว้ต่างหากจากการนมัสการ ณ หอประชุมหรืองานเผยแพร่ที่ทำร่วมกัน. ความสัมพันธ์ทางธุรกิจอาจเป็นในลักษณะนายจ้างกับลูกจ้าง. หากเราจ้างพี่น้องทำงาน เราคงระมัดระวังที่จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างซื่อสัตย์ จ่ายเงินค่าจ้างตามเวลา ตามจำนวนที่ได้ตกลงกันไว้ รวมทั้งให้สวัสดิการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้. (1 ติโมเธียว 5:18; ยาโกโบ 5:1-4) ในทางกลับกัน หากเราเป็นลูกจ้างของพี่น้อง เราทำงานเต็มที่เพื่อแลกกับค่าจ้าง. (2 เทสซาโลนิเก 3:10) เราไม่คาดหมายว่าจะได้รับการปฏิบัติที่พิเศษเนื่องจากความสัมพันธ์แบบคริสเตียน ประหนึ่งว่านายจ้างมีพันธะต้องให้เวลา, การช่วยเหลือ, หรือผลประโยชน์อื่น ๆ แก่เราซึ่งมิได้ให้แก่ลูกจ้างคนอื่น ๆ.—เอเฟโซส์ 6:5-8.
14. เมื่อคริสเตียนทำธุรกิจที่เสี่ยงร่วมกัน นับว่าฉลาดสุขุมที่เขาจะทำอะไรเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน และเพราะเหตุใด?
14 จะว่าอย่างไรหากธุรกิจของเราเกี่ยวข้องกับการเสี่ยงบางอย่าง บางทีอาจเป็นการลงทุนหรือการกู้ยืม? คัมภีร์ไบเบิลให้หลักการที่สำคัญและเป็นประโยชน์คือ ทำทุกอย่างไว้เป็นลายลักษณ์อักษร! ตัวอย่างเช่น เมื่อยิระมะยาซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง ท่านได้ทำเอกสารเป็นสองฉบับ, ให้มีพยานรู้เห็น, และเก็บเอกสารไว้อย่างปลอดภัยเพื่อการอ้างอิงถึงในวันข้างหน้า. (ยิระมะยา 32:9-12; ดูเยเนซิศ 23:16-20 ด้วย.) เมื่อทำธุรกิจกับเพื่อนร่วมความเชื่อ การลงรายละเอียดทุกอย่างในเอกสารที่เตรียมไว้อย่างรอบคอบ พร้อมทั้งมีการเซ็นชื่อและมีพยานมิได้หมายความว่าพี่น้องไม่ไว้ใจกัน. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นั่นช่วยป้องกันมิให้เกิดการเข้าใจผิด, ความข้องขัดใจกัน, และกระทั่งความขัดแย้งกันที่อาจก่อความแตกแยกได้. คริสเตียนคนใด ๆ ที่ทำธุรกิจด้วยกันควรจำไว้เสมอว่า ไม่สมควรที่จะให้ความเสี่ยงทางธุรกิจมาทำลายเอกภาพและความสงบสุขในประชาคม.b—1 โครินท์ 6:1-8.
ความซื่อสัตย์ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทางโลก
15. พระยะโฮวาทรงรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการทำธุรกิจที่ไม่ซื่อตรง และคริสเตียนมีท่าทีอย่างไรต่อแนวโน้มเช่นนั้นที่มีอยู่ทั่วไป?
15 ความซื่อสัตย์ของคริสเตียนใช่ว่าจำกัดอยู่แค่ในประชาคม. เปาโลได้กล่าวว่า “เราปรารถนาจะประพฤติตัวซื่อสัตย์ในทุก สิ่ง.” (ฮีบรู 13:18) ในเรื่องธุรกิจทางโลก พระผู้สร้างของเราสนพระทัยอย่างยิ่งในเรื่องความซื่อสัตย์. เฉพาะในพระธรรมสุภาษิต มีการเน้นความจำเป็นต้องมีตราชูที่เที่ยงตรงถึงสี่ครั้ง. (สุภาษิต 11:1; 16:11; 20:10, 23) ในสมัยโบราณ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะใช้ตราชูและลูกตุ้มเมื่อทำการค้าขายเพื่อจะชั่งสิ่งของและเงินที่ใช้ซื้อของนั้น. พ่อค้าที่ไม่ซื่อสัตย์จะใช้ลูกตุ้มและตราชูที่ไม่เที่ยงสองชุดเพื่อหลอกลวงและฉ้อโกงลูกค้า.c พระยะโฮวาทรงเกลียดชังการกระทำดังกล่าว! เพื่อจะเป็นที่รักของพระองค์เสมอ เราต้องหลีกเลี่ยงการดำเนินธุรกิจแบบไม่ซื่อตรงทุกรูปแบบอย่างเคร่งครัด.
16, 17. ความไม่ซื่อสัตย์รูปแบบใดบ้างที่เป็นเรื่องธรรมดาในโลกทุกวันนี้ และคริสเตียนแท้ตั้งใจจะเป็นเช่นไร?
16 เนื่องจากซาตานเป็นผู้ปกครองโลกนี้ เราจึงไม่แปลกใจที่พบว่าความไม่ซื่อสัตย์มีอยู่รอบตัวเรา. ทุกวันเราอาจเผชิญการล่อใจให้เป็นคนไม่ซื่อสัตย์. เมื่อผู้คนเขียนประวัติย่อเพื่อสมัครงาน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะโกหกและพูดเกินความจริง ปลอมจดหมายรับรองและอ้างถึงประสบการณ์ที่ไม่จริง. เมื่อผู้คนกรอกแบบฟอร์มเอกสารการเข้าเมือง, การเสียภาษี, การประกันภัย, และแบบฟอร์มอื่น ๆ ที่คล้ายกัน ปกติแล้วพวกเขาให้คำตอบที่ไม่จริงเพื่อจะได้สิ่งที่ต้องการ. นักเรียนหลายคนโกงข้อสอบ หรือเมื่อเขียนเรียงความและทำรายงานส่งครู พวกเขาอาจเข้าอินเทอร์เน็ตและขโมยคัดลอกข้อมูลซึ่งเป็นผลงานของคนอื่น แล้วนำเสนอว่าเป็นผลงานของตนเอง. และเมื่อผู้คนติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต บ่อยครั้งพวกเขาติดสินบนเพื่อจะได้สิ่งที่ต้องการ. เราคาดหมายอยู่แล้วว่าจะมีพฤติกรรมเช่นนี้ในโลกที่ผู้คนมากมายเป็นคน “รักตัวเอง, รักเงิน, . . . ไม่รักความดี.”—2 ติโมเธียว 3:1-5.
17 คริสเตียนแท้ตั้งใจที่จะไม่เข้าร่วมในการกระทำใด ๆ ดังกล่าว. สิ่งที่ทำให้ยากที่จะซื่อสัตย์ในบางครั้งก็คือ ในโลกทุกวันนี้ คนที่ปฏิบัติในวิธีต่าง ๆ ที่ไม่ซื่อสัตย์เช่นนั้นดูเหมือนว่าประสบผลสำเร็จและถึงกับได้ผลประโยชน์มากกว่าคนอื่น. (บทเพลงสรรเสริญ 73:1-8) ขณะเดียวกัน คริสเตียนอาจประสบความลำบากด้านการเงินเนื่องจากเขาปรารถนาจะเป็นคนซื่อสัตย์เสมอ “ในทุก สิ่ง.” นั่นคุ้มค่ากับการยอมสละไหม? คุ้มค่าแน่นอน! แต่เหตุใดจึงคุ้มค่า? มีพระพรอะไรบ้างจากการเป็นคนที่ประพฤติตัวซื่อสัตย์?
ผลประโยชน์จากการเป็นคนซื่อสัตย์
18. เหตุใดการมีชื่อเสียงว่าเป็นคนซื่อสัตย์จึงนับว่ามีค่าอย่างยิ่ง?
18 คุณจะพบว่ามีไม่กี่อย่างในชีวิตที่มีค่ายิ่งกว่าการมีชื่อเสียงว่าเป็นคนซื่อสัตย์ ไว้ใจได้. (ดูกรอบ “ฉันเป็นคนซื่อสัตย์แค่ไหน?”) และคิดดูสิ ใคร ๆ ก็สามารถสร้างชื่อเสียงเช่นนั้นได้! นั่นมิได้ขึ้นอยู่กับความสามารถพิเศษ, ทรัพย์สมบัติ, รูปร่างหน้าตา, พื้นเพทางสังคม, หรือปัจจัยอื่นใดที่อยู่เหนือการควบคุมของคุณ. ถึงกระนั้น หลายคนไม่ได้สร้างชื่อเสียงที่ดีซึ่งนับว่ามีค่า. ชื่อเสียงดีเป็นสิ่งที่หายาก. (มีคา 7:2) บางคนอาจเยาะเย้ยคุณที่เป็นคนซื่อสัตย์ แต่คนอื่นจะเห็นคุณค่าความซื่อสัตย์ของคุณ และเขาจะนับถือและไว้ใจคุณ. พยานพระยะโฮวาหลายคนถึงกับพบว่าความซื่อสัตย์ทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์ด้านการเงิน. พวกเขามีงานทำต่อไปในขณะที่ลูกจ้างที่ไม่ซื่อสัตย์ถูกไล่ออกจากงาน หรือเมื่อมีงานซึ่งต้องการลูกจ้างที่ซื่อสัตย์อย่างมาก พวกเขาก็จะเป็นฝ่ายที่ได้งานนั้น.
19. แนวทางชีวิตที่ซื่อสัตย์จะมีผลกระทบอย่างไรต่อสติรู้สึกผิดชอบและสัมพันธภาพของเรากับพระยะโฮวา?
19 ไม่ว่าคุณจะมีประสบการณ์ดังกล่าวหรือไม่ คุณจะพบว่าความซื่อสัตย์ก่อผลประโยชน์มากกว่านั้นเสียอีก. คุณจะได้รับพระพรจากการมีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาด. เปาโลได้เขียนว่า “เรามั่นใจว่าเรามีสติรู้สึกผิดชอบที่ดี.” (ฮีบรู 13:18) ยิ่งกว่านั้น พระบิดาองค์เปี่ยมด้วยความรักผู้สถิตในสวรรค์ ทรงสังเกตเห็นชื่อเสียงดีของคุณ และพระองค์ทรงรักคนซื่อสัตย์. (บทเพลงสรรเสริญ 15:1, 2; สุภาษิต 22:1) ใช่แล้ว การเป็นคนซื่อสัตย์ช่วยคุณให้เป็นที่รักของพระเจ้าเสมอ และนี่เป็นผลตอบแทนสูงสุดที่เราจะรับได้. ต่อจากนี้ให้เราพิจารณาเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกันคือ ทัศนะของพระยะโฮวาในเรื่องงาน.
a ในประชาคม หากมีการโกหกโดยมีเจตนาร้ายอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งมุ่งหมายจะทำให้คนอื่นได้รับความเสียหายอย่างเห็นได้ชัด ผู้ปกครองก็อาจมีเหตุอันควรที่จะตั้งคณะกรรมการตัดสินความ.
b เกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำเมื่อการดำเนินธุรกิจล้มเหลว ดูภาคผนวก “การแก้ปัญหาเมื่อมีความขัดแย้งทางธุรกิจ.”
c พวกเขาใช้ลูกตุ้มชุดหนึ่งในการซื้อและอีกชุดหนึ่งในการขาย ทำให้ตัวเองได้กำไรจากทั้งสองทาง. นอกจากนี้ เขาอาจใช้ตาชั่งที่แขนข้างหนึ่งยาวกว่าหรือหนักกว่าอีกข้างหนึ่งเพื่อจะโกงลูกค้าในการซื้อขายใด ๆ ก็ตาม.