สันติสุขแท้—จากแหล่งไหน?
“[พระยะโฮวา] ทรงยุติสงครามจนถึงที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลก.”—บทเพลงสรรเสริญ 46:9, ล.ม.
1. คำสัญญาที่ยอดเยี่ยมอะไรเกี่ยวกับสันติสุขที่เราพบในคำพยากรณ์ของยะซายา?
“ผลของความชอบธรรมนั้นคือสันติสุข, และผลของความยุติธรรมนั้นคือความสงบสุขและความไว้วางใจเป็นนิจ. พลเมืองของเราจะอยู่ในบ้านอันมีสันติสุข, ในเรือนที่ปลอดภัย, และในที่อยู่อันมีความสงบใจ.” (ยะซายา 32:17, 18) ช่างเป็นคำสัญญาที่งดงามอะไรเช่นนี้! นี่เป็นคำสัญญาเกี่ยวกับสันติสุขแท้ที่พระเจ้าจะทรงก่อให้เกิดขึ้น.
2, 3. จงพรรณนาสภาพของสันติสุขแท้.
2 อย่างไรก็ตาม สันติสุขแท้คืออะไร? เป็นเพียงสภาวะปลอดสงครามเท่านั้นไหม? หรือเป็นเพียงช่วงเวลาที่ชาติต่าง ๆ เตรียมตัวสำหรับสงครามครั้งต่อไป? สันติสุขแท้เป็นเพียงความฝันไหม? คำถามเหล่านี้จำต้องได้รับคำตอบที่เชื่อถือได้. ก่อนอื่น สันติสุขแท้เป็นยิ่งเสียกว่าความฝันมากนัก. สันติสุขที่พระเจ้าทรงสัญญาเหนือกว่าสิ่งใด ๆ ที่โลกนี้สามารถนึกภาพออก. (ยะซายา 64:4) สันติสุขแท้นี้ไม่ใช่สภาพที่จะเป็นอยู่ไม่กี่ปีหรือไม่กี่ทศวรรษ. สันติสุขนี้ยืนยงไปชั่วนิรันดร์! และไม่ใช่สันติสุขสำหรับอภิสิทธิ์ชนเพียงไม่กี่คน แต่กินขอบเขตรวมถึงทั้งสวรรค์และแผ่นดินโลก ทูตสวรรค์และมนุษย์. สันติสุขนี้แผ่ไปถึงประชาชนในทุกชาติ, กลุ่มชาติพันธุ์, ภาษา, และสีผิว. สันติสุขนี้ไม่มีพรมแดน, ไม่มีสิ่งใดจะกั้นขวางได้, และไม่มีวันล้มเหลว.—บทเพลงสรรเสริญ 72:7, 8; ยะซายา 48:18.
3 สันติสุขแท้หมายถึงการมีสันติสุขทุกวัน. สันติสุขแท้หมายถึงการที่คุณตื่นขึ้นมาตอนเช้าแต่ละวันโดยปราศจากความคิดเรื่องสงคราม ปราศจากความกังวลเรื่องอนาคตของตัวเอง หรือแม้แต่อนาคตของลูกหลาน. สันติสุขแท้หมายถึงสันติสุขแห่งจิตใจอย่างครบถ้วน. (โกโลซาย 3:15) สันติสุขหมายถึงไม่มีอาชญากรรม, ไม่มีความรุนแรง, ไม่มีสภาพบ้านแตก, ไม่มีคนไร้ที่อยู่อาศัย, ไม่มีคนอดอยากหรือหนาวจนตัวแข็งตาย, และไม่มีความท้อแท้และกังวลใจอีกต่อไป. ที่ดียิ่งกว่านั้นเสียอีก สันติสุขของพระเจ้าหมายถึงโลกที่ปราศจากโรค, ความเจ็บปวด, ความโศกเศร้า, หรือความตาย. (วิวรณ์ 21:4) ช่างเป็นความหวังที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ที่เราจะมีสันติสุขแท้ตลอดไป! นั่นเป็นสันติสุขและความสุขแบบที่เราทุกคนใฝ่ฝันถึงมิใช่หรือ? สันติสุขแบบนี้มิใช่หรือที่เราน่าจะอธิษฐานขอและลงมือลงแรงเพื่อจะได้มา?
ความพยายามที่ล้มเหลวของมนุษยชาติ
4. ชาติต่าง ๆ พยายามทำอะไรกันบ้างเพื่อให้มีสันติภาพ และผลเป็นเช่นไร?
4 นับเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ผู้คนและชาติต่าง ๆ พูดเรื่องสันติภาพ, เจรจาสันติภาพ, และลงนามสนธิสัญญาสันติภาพกันหลายร้อยฉบับ. ผลเป็นเช่นไร? ใน 80 ปีหลังนี้ แทบจะไม่มีช่วงเวลาที่บางชาติหรือกลุ่มต่าง ๆ ไม่ทำสงครามกัน. เห็นได้ชัด สันติสุขได้หลุดลอยไปจากมนุษยชาติเสียแล้ว. ดังนั้น คำถามคือว่า เหตุใดความพยายามทั้งสิ้นของมนุษย์ที่จะสร้างสันติภาพท่ามกลางนานาชาติจึงล้มเหลว และทำไมมนุษย์ไม่สามารถนำมาซึ่งสันติภาพแท้ที่ยั่งยืนนาน?
5. เหตุใดความพยายามของมนุษย์เพื่อสันติภาพจึงล้มเหลวมาโดยตลอด?
5 คำตอบง่าย ๆ ก็คือ มนุษยชาติไม่ได้หันไปพึ่งแหล่งที่สามารถก่อให้เกิดสันติสุขแท้ได้จริง ๆ. ภายใต้อิทธิพลของพญามารซาตาน ผู้คนได้ตั้งองค์การต่าง ๆ ขึ้นมาซึ่งได้ตกเป็นเหยื่อของความอ่อนแอและความชั่วร้ายของพวกเขาเอง นั่นคือความโลภและความทะเยอทะยาน ความทะยานอยากของตนเองที่ต้องการจะมีอำนาจและความเด่นดัง. พวกเขาเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาระดับสูงและก่อตั้งสถาบันวิจัยและโครงการวิจัยร่วมต่าง ๆ ซึ่งก็มีแต่จะคิดค้นวิธีใหม่ ๆ ในการกดขี่และทำลายเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง. มนุษย์เราถูกชี้นำไปยังแหล่งใด? พวกเขามองไปยังแหล่งใด?
6, 7. (ก) สันนิบาตชาติสร้างประวัติบันทึกเช่นไรแก่ตัวเอง? (ข) ประวัติบันทึกของสหประชาชาติเป็นเช่นไร?
6 ย้อนไปในปี 1919 ชาติต่าง ๆ ฝากความหวังไว้ที่สันนิบาตชาติเพื่อก่อให้เกิดสันติภาพถาวร. ความหวังนั้นพังครืนลงเมื่อกองทัพของมุสโสลินีรุกรานเอธิโอเปียในปี 1935 และสงครามกลางเมืองในสเปนเริ่มเปิดฉากในปี 1936. สันนิบาตชาติจมหายไปจากความทรงจำเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้นในปี 1939. สภาพที่เรียกกันว่าสันติภาพนั้นมีอยู่ยังไม่ทันถึง 20 ปีด้วยซ้ำ.
7 จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับสหประชาชาติ? องค์การนี้ได้จัดให้มีความหวังแท้ที่จะมีสันติภาพยั่งยืนนานทั่วโลกไหม? ไม่เลย. มีสงครามและการปะทะกันด้วยกำลังอาวุธมากกว่า 150 ครั้งตั้งแต่องค์การนี้เริ่มดำเนินงานในปี 1945! ไม่แปลกที่กวินน์ ไดเออร์ ผู้คงแก่เรียนชาวแคนาดาซึ่งศึกษาเกี่ยวกับสงครามและต้นกำเนิดของสงคราม บรรยายภาพสหประชาชาติว่าเป็น “ที่ชุมนุมแห่งนักลักลอบล่าสัตว์ซึ่งกลายมาเป็นผู้คุมกฎ หาใช่สมัชชาแห่งนักบุญไม่” และเป็น “สภากาแฟซึ่งปราศจากอำนาจที่แท้จริง.”—เทียบกับยิระมะยา 6:14; 8:15, ล.ม.
8. แม้ว่ามีการเจรจากันเรื่องสันติภาพ ชาติต่าง ๆ ทำเช่นไรมาโดยตลอด? (ยะซายา 59:8).
8 แม้ว่าพวกเขาเจรจาสันติภาพกัน แต่ชาติต่าง ๆ ก็ยังคงคิดค้นและผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ต่อไป. ประเทศเหล่านั้นที่ให้การสนับสนุนการประชุมสันติภาพก็มักเป็นประเทศผู้นำในการผลิตอาวุธเสียเอง. ผลประโยชน์ทางการค้าซึ่งมีอำนาจมากในประเทศเหล่านี้ส่งเสริมการผลิตอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ทำให้บาดเจ็บล้มตาย รวมทั้งกับระเบิดอันชั่วร้ายที่สังหารหรือไม่ก็ทำให้พิการทั้งพลเรือนที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ประมาณ 26,000 คนในแต่ละปี. ความโลภและคอร์รัปชันเป็นแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลัง. สินบนและเงินใต้โต๊ะเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของธุรกิจค้าอาวุธในตลาดนานาชาติ. นักการเมืองบางคนร่ำรวยขึ้นมาด้วยวิธีนี้.
9, 10. ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายโลกตั้งข้อสังเกตอะไรเกี่ยวกับสงครามและความพยายามของมนุษย์?
9 ในเดือนธันวาคม 1995 นักฟิสิกส์ชาวโปแลนด์ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพคือ โจเซฟ ร็อทบลัท เรียกร้องให้นานาชาติยุติการแข่งขันทางด้านอาวุธ. เขากล่าวว่า “ทางเดียวที่จะป้องกัน [การแข่งขันกันอีกทางด้านอาวุธ] คือต้องยกเลิกสงครามให้หมดสิ้น.” คุณคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นไหม? นับจากปี 1928 เป็นต้นมา มี 62 ประเทศที่ให้สัตยาบันในกติกาสัญญาเคลลอกก์-บรีอานด์ ซึ่งต่างก็ประกาศเลิกใช้สงครามเป็นวิธีจัดการข้อขัดแย้ง. สงครามโลกครั้งที่สองแสดงให้เห็นชัดว่า กติกาสัญญานั้นเป็นเพียงแค่เศษกระดาษเท่านั้น.
10 ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า สงครามเป็นหินสะดุดตลอดมาในเส้นทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ. ดังที่กวินน์ ไดเออร์ เขียนไว้ “สงครามเป็นสถาบันซึ่งเป็นศูนย์กลางในอารยธรรมของมนุษย์ และมีประวัติยาวนานพอ ๆ กับอารยธรรมเลยทีเดียว.” ถูกแล้ว แทบทุกอารยธรรมและทุกจักรวรรดิเลยทีเดียว มีวีรบุรุษชาตินักรบที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง, กองทัพประจำการ, ยุทธการที่ลือชื่อ, โรงเรียนการทหารที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์, และคลังอาวุธสำรอง. ถึงกระนั้น ศตวรรษของเรานี้ขึ้นชื่อในเรื่องสงครามยิ่งกว่าศตวรรษใด ๆ ทั้งในด้านการทำลายและในด้านการสูญเสียชีวิตผู้คน.
11. ปัจจัยพื้นฐานอะไรที่บรรดาผู้นำของโลกมองข้ามในการแสวงหาสันติภาพ?
11 เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพวกผู้นำของโลกเพิกเฉยต่อสติปัญญาพื้นฐานแห่งถ้อยคำในยิระมะยา 10:23 ที่ว่า “โอ้พระยะโฮวา, ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าทางที่มนุษย์จะไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของตัว, ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้.” หากดำเนินโดยปราศจากพระเจ้าเสียแล้ว ก็ไม่อาจจะมีสันติสุขแท้ได้. ถ้าอย่างนั้น ทั้งหมดนี้หมายความไหมว่าไม่อาจเลี่ยงสงครามได้ในสังคมที่เจริญแล้ว? นั่นหมายความไหมว่าสันติสุข—สันติสุขแท้—เป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง?
ขุดลงไปถึงรากเหง้าของปัญหา
12, 13. (ก) คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยอะไรเรื่องตัวการพื้นฐานซึ่งไม่เห็นด้วยตาที่ก่อให้เกิดสงคราม? (ข) ซาตานได้ทำอย่างไรเพื่อหันเหความสนใจของมนุษยชาติไปจากแหล่งที่จะแก้ปัญหาของโลกได้อย่างแท้จริง?
12 เพื่อจะตอบคำถามเหล่านั้น เราจำต้องเข้าใจสาเหตุของสงครามเสียก่อน. คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างชัดเจนว่า ซาตานทูตสวรรค์ที่กบฏเป็น “ผู้ฆ่าคน” ตั้งแต่แรกเริ่ม และเป็น “ผู้มุสา” และบอกด้วยว่า “โลกทั้งสิ้นตกอยู่ใต้อำนาจผู้ชั่วร้ายนั้น.” (โยฮัน 8:44, ล.ม.; 1 โยฮัน 5:19, ล.ม.) มันได้ทำอะไรเพื่อส่งเสริมแผนการของมัน? เราอ่านที่ 2 โกรินโธ 4:3, 4 ดังนี้: “ถ้ามีม่านบังกิตติคุณของเราไว้จากใคร, ก็คือคนเหล่านั้นที่จะถึงความพินาศ คือในคนจำพวกนั้น พระของสมัยนี้ได้กระทำใจของคนที่ไม่เชื่อให้มืดไป, เพื่อไม่ให้เขาเห็นแสงสว่างของกิตติคุณอันประกอบด้วยสง่าราศี, คือกิตติคุณของพระคริสต์ผู้เป็นแบบพระฉายของพระเจ้า.” ซาตานทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อหันเหความสนใจของมนุษยชาติไปจากราชอาณาจักรของพระเจ้าฐานะเป็นการปกครองที่จะแก้ปัญหาของโลก. มันทำให้ตาของประชาชนมืดบอดไปและนำพวกเขาออกนอกทางด้วยประเด็นที่ก่อให้เกิดความแตกแยกกันในเรื่องสังคม, การเมือง, และศาสนา จนกระทั่งเรื่องเหล่านี้ดูเหมือนว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าการปกครองของพระเจ้า. การจู่โจมไปทั่วโลกของชาตินิยมเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง.
13 พญามารซาตานส่งเสริมชาตินิยมและเผ่านิยม ความเชื่อในเรื่องที่ว่า ชาติหนึ่ง, เชื้อชาติหนึ่ง, หรือชนเผ่าหนึ่งเหนือกว่ากลุ่มอื่น. ความเกลียดชังที่ฝังรากลึกซึ่งถูกกดไว้หลายศตวรรษกำลังฟื้นตัวขึ้นมาเติมเชื้อเพลิงให้เกิดสงครามและการปะทะกันเพิ่มขึ้น. เฟเดริโก เมเยอร์ ผู้อำนวยการแห่งยูเนสโก เตือนถึงแนวโน้มนี้ว่า “แม้แต่ในที่ซึ่งความมีขันติธรรมเคยมีอยู่ทั่วไป ก็เห็นชัดมากขึ้นว่าเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดกลัวคนต่างชาติมากขึ้นและข้อคิดเห็นของลัทธิคลั่งชาติหรือพวกที่ถือคตินิยมเชื้อชาติซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว กลับมาให้ได้ยินบ่อยครั้งขึ้นทุกที.” ผลเป็นเช่นไร? การสังหารหมู่อย่างน่าสยดสยองในอดีตยูโกสลาเวียและการนองเลือดระหว่างเผ่าในรวันดาเป็นแต่เพียงสองเหตุการณ์ที่ได้นำมาพาดหัวข่าว.
14. วิวรณ์ 6:4 ให้ภาพไว้อย่างไรเกี่ยวกับสงครามและผลกระทบของสงครามในสมัยของเรา?
14 คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าว่า ในช่วงอวสานของระบบนี้ ม้าสีเพลิงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสงครามจะควบวิ่งไปทั่วแผ่นดินโลก. เราอ่านที่วิวรณ์ 6:4 (ล.ม.) ดังนี้: “ม้าอีกตัวหนึ่งออกมา เป็นม้าสีเพลิง; และผู้ที่นั่งบนม้านั้นได้รับอนุญาตให้เอาสันติสุขไปจากแผ่นดินโลกเพื่อพวกเขาจะฆ่าฟันกัน; และผู้นี้ได้รับดาบเล่มใหญ่.” ตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมา เราได้เห็นผู้ที่นั่งบนม้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์นี้ “เอาสันติสุขไป” และชาติต่าง ๆ รบพุ่งและทำสงครามกันเรื่อยมา.
15, 16. (ก) บทบาทของศาสนาเป็นเช่นไรในเรื่องสงครามและการฆ่าฟันในที่ต่าง ๆ? (ข) พระยะโฮวาทรงมีความเห็นอย่างไรในสิ่งที่ศาสนาได้ทำ?
15 ที่ต้องไม่มองข้ามคือบทบาทของศาสนาในสงครามและการฆ่าฟันเหล่านี้. เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่โชกไปด้วยเลือด สามารถบอกได้ว่า ส่วนใหญ่เป็นผลพวงจากอิทธิพลในการชักนำไปผิดทางของศาสนาเท็จ. ฮันส์ คุง นักเทววิทยาคาทอลิกเขียนดังนี้: “ไม่มีข้อโต้แย้งได้ที่ว่า [ศาสนา] ได้มีส่วนและยังคงมีส่วนอย่างมากในทางลบและในเชิงทำลาย. การต่อสู้, การสู้รบนองเลือด, และที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ ‘สงครามศาสนา’ มากมายที่เกิดขึ้นต้องคิดเข้าบัญชีความรับผิดชอบของศาสนา; . . . และก็เป็นเช่นนั้นด้วยสำหรับสงครามโลกทั้งสองครั้ง.”
16 พระยะโฮวาพระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับบทบาทของศาสนาเท็จในการฆ่าฟันและสงครามต่าง ๆ? การดำเนินคดีของพระเจ้าต่อศาสนาเท็จซึ่งบันทึกไว้ที่วิวรณ์ 18:5 (ล.ม.) บอกเราดังนี้: “บาปของเมืองนั้นกองสูงขึ้นจรดสวรรค์แล้ว และพระเจ้าทรงระลึกถึงการอยุติธรรมของเมืองนั้นแล้ว.” การสมรู้ร่วมคิดของศาสนาเท็จกับผู้ปกครองทางการเมืองของโลกก่อให้เกิดความผิดฐานทำให้โลหิตตก เกิดบาปที่สะสมกองสูงถึงขนาดที่พระเจ้าไม่อาจจะทรงมองข้ามได้. ไม่ช้าพระองค์จะทรงขจัดทำลายหินสะดุดนี้อย่างสิ้นเชิงให้ออกไปจากทางซึ่งนำไปสู่สันติสุขแท้.—วิวรณ์ 18:21.
หนทางสู่สันติสุข
17, 18. (ก) เหตุใดไม่ใช่เป็นเพียงความฝันที่จะเชื่อว่า สันติสุขชั่วนิรันดร์เป็นไปได้? (ข) พระยะโฮวาได้ทรงทำอะไรไปแล้วเพื่อรับรองว่าสันติสุขแท้จะเกิดขึ้น?
17 ถ้ามนุษย์เราซึ่งอาศัยตัวแทนอย่างเช่นสหประชาชาติไม่สามารถนำมาซึ่งสันติสุขแท้และถาวร สันติสุขแท้จะมาจากแหล่งใด และโดยวิธีใด? เป็นเพียงความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริงไหมที่จะเชื่อว่าสันติสุขตลอดกาลเป็นไปได้? ไม่เป็นเช่นนั้นเลย หากเราพึ่งพาแหล่งที่ถูกต้องซึ่งนำสันติสุขมาให้. ใครล่ะที่เป็นแหล่งแห่งสันติสุขนั้น? บทเพลงสรรเสริญ 46:9 (ล.ม.) ให้คำตอบโดยบอกเราว่า พระยะโฮวา “ทรงยุติสงครามจนถึงที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลก. คันธนูพระองค์ทรงหักเสีย และทรงตัดทวนเป็นท่อน ๆ; ทรงเผารถเสียในไฟ.” พระยะโฮวาได้ทรงเริ่มดำเนินการแล้วตามขั้นตอนเพื่อจะยุติสงครามและก่อให้เกิดสันติสุขแท้. โดยวิธีใด? โดยการแต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้ประทับบนบัลลังก์อันชอบด้วยสิทธิแห่งราชอาณาจักรในปี 1914 และโดยการส่งเสริมแผนการศึกษาเพื่อสันติสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ. คำพยากรณ์ในยะซายา 54:13 (ล.ม.) รับรองกับเราดังนี้: “บุตรทั้งสิ้นของเจ้าจะเป็นบุคคลที่ได้รับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา และสันติสุขแห่งเหล่าบุตรของเจ้าจะมีบริบูรณ์.”
18 คำพยากรณ์นี้แสดงให้เห็นหลักการเรื่องเหตุและผล นั่นคือ ผลทุกอย่างย่อมมีเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้น. ในกรณีนี้ การสอนของพระยะโฮวาคือเหตุซึ่งได้เปลี่ยนคนที่ชอบสงครามให้กลายเป็นคนที่รักสันติ และมีสันติสุขกับพระเจ้า. ผลคือการเปลี่ยนแปลงของหัวใจที่ทำให้ผู้คนกลายมาเป็นผู้รักสันติ. การสอนนี้ที่เปลี่ยนหัวใจและจิตใจของประชาชน กำลังแพร่ไปทั่วโลกอยู่ในเวลานี้ทีเดียว ขณะที่หลายล้านคนติดตามตัวอย่างของพระเยซูคริสต์ “องค์สันติราช.”—ยะซายา 9:6.
19. พระเยซูทรงสอนอะไรเกี่ยวกับสันติสุขแท้?
19 และพระเยซูทรงสอนอะไรเกี่ยวกับสันติสุขแท้? พระองค์ตรัสถึงไม่เพียงแค่สันติสุขระหว่างชาติต่าง ๆ แต่เป็นสันติสุขในความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนและสันติสุขที่อยู่ภายในซึ่งเกิดจากสติรู้สึกผิดชอบที่ดี. ที่โยฮัน 14:27 (ล.ม.) เราอ่านถ้อยคำของพระเยซูที่ตรัสต่อผู้ติดตามพระองค์ดังนี้: “เราฝากสันติสุขไว้กับเจ้าทั้งหลาย เรามอบสันติสุขของเราไว้แก่เจ้า. เราให้สันติสุขนั้นแก่เจ้าไม่เหมือนอย่างที่โลกให้. อย่าให้หัวใจของเจ้าเป็นทุกข์ และอย่าให้หัวใจขยาดด้วยความกลัวเลย.” สันติสุขของพระเยซูต่างอย่างไรจากสันติสุขของโลก?
20. พระเยซูจะทรงนำสันติสุขแท้มาโดยวิธีใด?
20 ประการแรก สันติสุขของพระเยซูเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับข่าวสารของพระองค์เรื่องราชอาณาจักร. พระองค์ทรงทราบว่ารัฐบาลทางภาคสวรรค์ที่ชอบธรรม ซึ่งประกอบด้วยพระเยซูและผู้ร่วมปกครอง 144,000 คน จะทำให้สงครามยุติลงและกำจัดคนที่ก่อให้เกิดสงคราม. (วิวรณ์ 14:1, 3) พระองค์ทรงทราบว่านั่นจะนำมาซึ่งสภาพที่เป็นอุทยานอันสงบสุขซึ่งพระองค์ทรงบอกกับผู้ร้ายที่ตายข้าง ๆ พระองค์ว่าเขาจะได้อยู่. พระเยซูไม่ได้สัญญาว่าเขาจะได้อยู่ในราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ แต่พระองค์ตรัสว่า “แท้จริง เราบอกเจ้าวันนี้ เจ้าจะอยู่กับเราในอุทยาน.”—ลูกา 23:43, ล.ม.
21, 22. (ก) ความหวังที่ให้การค้ำจุนอย่างน่าพิศวงอะไรที่เกี่ยวข้องกับสันติสุขแท้? (ข) เราต้องทำอะไรเพื่อได้รับพระพรนั้น?
21 นอกจากนี้ พระเยซูทรงทราบว่า ราชอาณาจักรจะนำการปลอบประโลมมาสู่คนเหล่านั้นซึ่งเป็นทุกข์โศกเศร้าที่ได้สำแดงความเชื่อในพระองค์. สันติสุขของพระองค์รวมไปถึงความหวังเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายที่ให้การค้ำจุนอย่างน่าพิศวง. ขอระลึกถึงคำตรัสที่กระตุ้นหนุนใจซึ่งพบที่โยฮัน 5:28, 29 (ล.ม.) ซึ่งอ่านว่า “อย่าประหลาดใจในข้อนี้ เพราะเวลาจะมาเมื่อบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในอุโมงค์รำลึกจะได้ยินสุรเสียงของพระองค์ และจะออกมา ผู้ที่ได้ทำการดีจะเป็นขึ้นมาสู่ชีวิต ผู้ที่ได้ทำการชั่วก็จะเป็นขึ้นมาสู่การพิพากษา.”
22 คุณคอยท่าให้เวลานั้นมาถึงไหม? คุณสูญเสียผู้เป็นที่รักเนื่องจากการตายไหม? คุณปรารถนาจะพบพวกเขาอีกครั้งหนึ่งไหม? ถ้าอย่างนั้น จงรับเอาสันติสุขที่พระเยซูทรงเสนอให้. จงมีความเชื่อเช่นเดียวกับที่มาธาพี่สาวของลาซะโรมี ซึ่งเธอกล่าวต่อพระเยซูว่า “ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าเขาจะได้เป็นขึ้นมาในการกลับเป็นขึ้นจากตายในวันสุดท้าย.” แต่ขอให้สังเกตคำตอบของพระเยซูต่อมาธาซึ่งทำให้ชื่นชูใจ: “เราเป็นการกลับเป็นขึ้นจากตายและเป็นชีวิต. ผู้ที่แสดงความเชื่อในเรา ถึงแม้เขาตายก็จะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตอยู่และแสดงความเชื่อในเราจะไม่ตายเลย. เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม?”—โยฮัน 11:24-26, ล.ม.
23. เหตุใดความรู้ถ่องแท้แห่งพระคำของพระเจ้าจึงจำเป็นในการได้รับสันติสุขแท้?
23 คุณก็เช่นกันสามารถเชื่อและได้รับประโยชน์จากคำสัญญานั้นได้. โดยวิธีใด? โดยการรับเอาความรู้ถ่องแท้แห่งพระคำของพระเจ้า. โปรดสังเกตว่าอัครสาวกเปาโลเน้นความสำคัญของความรู้ถ่องแท้ดังนี้: “เราไม่ได้เลิกอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลายและทูลขอให้ท่านประกอบด้วยความรู้ถ่องแท้เรื่องพระทัยประสงค์ของพระองค์ในสรรพปัญญา และความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ เพื่อจะดำเนินคู่ควรกับพระยะโฮวา เพื่อทำให้พระองค์พอพระทัยอย่างเต็มเปี่ยม ขณะที่ท่านทั้งหลายเกิดผลต่อไปในการงานที่ดีทุกอย่าง และเพิ่มพูนในความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระเจ้า.” (โกโลซาย 1:9, 10, ล.ม.) ความรู้ถ่องแท้นี้จะทำให้คุณเชื่อมั่นว่า พระยะโฮวาพระเจ้าเป็นแหล่งแห่งสันติสุขแท้. ความรู้ถ่องแท้ยังจะบอกคุณด้วยถึงสิ่งที่คุณต้องทำเสียแต่เดี๋ยวนี้เพื่อว่า คุณอาจร่วมกับท่านผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญในการกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะทอดกายลงนอนหลับในความสงบสุข. โอ้พระยะโฮวา, พระองค์เท่านั้นที่ทรงบันดาลให้ข้าพเจ้าอยู่ในความปลอดภัย.”—บทเพลงสรรเสริญ 4:8.
คุณอธิบายได้ไหม?
▫ เหตุใดความพยายามของมนุษย์ในการสร้างสันติภาพจึงล้มเหลวมาโดยตลอด?
▫ สาเหตุที่เป็นรากเหง้าของสงครามคืออะไร?
▫ เหตุใดสันติสุขที่ยั่งยืนนานไม่ใช่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง?
▫ อะไรเป็นแหล่งของสันติสุขแท้?
[รูปภาพหน้า 8]
สันติสุขแท้ไม่ใช่ความฝัน หากแต่เป็นคำสัญญาของพระเจ้า
[รูปภาพหน้า 10]
นับแต่ปี 1914 เป็นต้นมา ผู้ขี่ม้าสีเพลิงอันเป็นสัญลักษณ์นั้น ได้พรากสันติสุขไปจากแผ่นดินโลก
[รูปภาพหน้า 11]
ศาสนาและสหประชาชาติสามารถนำมาซึ่ง สันติภาพได้ไหม?
[ที่มาของภาพ]
UN photo