เรื่องราวชีวิตจริง
งานรับใช้ทำให้ผมเจอเรื่องที่ตื่นเต้นตกใจแต่ก็มีความสุขและได้บทเรียนหลายอย่าง
ตอนเด็ก ๆ พอเห็นเครื่องบินบนท้องฟ้าทีไร ผมใฝ่ฝันว่าอยากจะไปเที่ยวต่างประเทศ แต่สำหรับผมแล้วมันคงเป็นไปไม่ได้
พ่อแม่ผมอพยพออกจากเอสโตเนียช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และไปอยู่ที่เยอรมนี แล้วผมก็เกิดที่นั่น หลังจากผมเกิดเราก็ย้ายไปอยู่ใกล้เมืองออตตาวาประเทศแคนาดา ที่แรกที่เราอยู่เป็นมุมหนึ่งข้างในโรงเลี้ยงไก่ ครอบครัวเรายากจนมากแต่อย่างน้อยเราก็มีไข่กินเป็นอาหารเช้า
วันหนึ่งพยานพระยะโฮวามาเยี่ยมแม่ผมและอ่านวิวรณ์ 21:3, 4 ให้แม่ฟัง แม่ประทับใจมากจนร้องไห้ออกมา แล้วความจริงก็เติบโตขึ้นในหัวใจทั้งพ่อและแม่ จนทั้งสองคนก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและรับบัพติศมา
พ่อแม่ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่งแต่พวกเขาก็ขยันรับใช้พระยะโฮวามาก เกือบทุกวันเสาร์พ่อจะพาผมกับน้องสาวที่ชื่อซิลเวียไปประกาศ แม้คืนก่อนหน้านั้นพ่อจะต้องทำงานหนักตลอดทั้งคืนในโรงงานหลอมนิกเกิลที่เมืองซัดเบรี่ในออนแทรีโอ นอกจากนั้น ทุกสัปดาห์ครอบครัวเราจะศึกษาหอสังเกตการณ์ ด้วยกัน พ่อกับแม่สอนผมให้รักพระยะโฮวา และนั่นทำให้ผมอุทิศตัวให้กับพระองค์ในปี 1956 ตอนอายุ 10 ขวบ ทุกครั้งที่คิดถึงความรักที่พ่อกับแม่มีต่อพระยะโฮวา มันยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากรับใช้พระองค์ต่อ ๆ ไป
หลังจากที่ผมจบชั้นมัธยม ผมก็สนใจอย่างอื่นมากกว่า ผมคิดว่าถ้าเป็นไพโอเนียร์คงหาเงินได้ไม่พอที่จะทำตามความฝันของตัวเองได้ ผมยังอยากขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวหลายประเทศ ผมเลยไปสมัครเป็นดีเจที่สถานีวิทยุแห่งหนึ่ง และผมก็ชอบงานนี้มาก แต่งานนี้มันต้องทำตอนกลางคืน ผมเลยขาดประชุมบ่อย ๆ แถมยังคบกับเพื่อนที่ไม่รักพระยะโฮวาด้วย แต่ในที่สุดผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีก็เลยตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ผมย้ายไปที่เมืองออชชาวาในออนแทรีโอ ผมได้เจอกับเรย์ นอร์มันกับเลสลี่น้องสาวของเขา รวมทั้งไพโอเนียร์คนอื่น ๆ พวกเขาต้อนรับและดูแลผมดีมาก พอเห็นว่าชีวิตพวกเขามีความสุขมาก มันก็ช่วยให้ผมคิดจริงจังว่าผมควรให้อะไรสำคัญในชีวิต พวกเขาสนับสนุนผมให้เป็นไพโอเนียร์ซึ่งผมก็ทำแบบนั้นตั้งแต่เดือนกันยายน 1966 ผมมีความสุขมากและชีวิตก็ดูเหมือนไปได้ดีจริง ๆ แต่อีกไม่นานกำลังจะมีบางอย่างที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตผมไปเลย
ถ้าพระยะโฮวาเชิญให้คุณทำอะไร ก็ให้ลองทำเลย
ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ผมส่งใบสมัครเข้าเบเธลโทรอนโต ประเทศแคนาดา ต่อมาตอนที่ผมเป็นไพโอเนียร์ ผมก็ได้รับเชิญให้รับใช้ที่เบเธล 4 ปี แต่ตอนนั้นผมชอบเลสลี่มาก ผมกลัวว่าถ้าตอบรับคำเชิญ ผมคงไม่มีโอกาสได้เจอเธออีก แต่หลังจากที่ใช้เวลานานมากในการอธิษฐานถึงพระยะโฮวาอย่างจริงจัง ผมก็ตัดสินใจไปรับใช้ที่เบเธลแม้จะเสียใจที่ต้องจากเลสลี่ไป
ผมได้ทำงานที่แผนกซักรีดของเบเธล และต่อมาก็ได้ทำงานเป็นเลขา ส่วนเลสลี่เป็นไพโอเนียร์พิเศษที่เมืองกาติโนในควิเบก ผมคิดบ่อย ๆ ว่าเลสลี่กำลังทำอะไรอยู่และไม่แน่ใจว่าผมตัดสินใจดีแล้วหรือเปล่า แต่แล้ววันหนึ่งก็มีเรื่องที่ทำให้ผมดีใจสุด ๆ คือเรย์พี่ชายของเลสลี่ได้รับเชิญให้มารับใช้ที่เบเธล แถมผมกับเรย์ยังได้เป็นรูมเมทกันด้วย มันเลยทำให้ผมได้กลับมาคบกับเลสลี่อีก และในที่สุดผมกับเลสลี่ก็ได้แต่งงานกันในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1971 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้รับใช้ในเบเธลครบ 4 ปี
ผมกับเลสลี่ได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้ที่ประชาคมภาษาฝรั่งเศสในควิเบก หลังจากที่รับใช้ที่นั่น 2-3 ปี ผมก็ตกใจและตื่นเต้นมากที่ได้เป็นผู้ดูแลหมวด ตอนนั้นผมอายุแค่ 28 ผมรู้สึกว่าตัวเองยังอายุน้อยและไม่มีความสามารถเท่าไหร่ ถึงจะเป็นอย่างนั้นเยเรมีย์ 1:7, 8 ก็ให้กำลังใจผม แต่เนื่องจากเลสลี่เคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ 2 ครั้ง และเธอก็นอนหลับยาก ผมเลยไม่แน่ใจว่าเราสองคนจะทำงานนี้ไหวหรือเปล่า แต่เลสลี่บอกว่า “ถ้าพระยะโฮวาเชิญเราให้ทำอะไร ทำไมเราไม่ลองทำดูล่ะ?” เราเลยตกลงรับงานมอบหมายนี้ และตลอด 17 ปีที่ทำงานนี้เรามีความสุขมากจริง ๆ
ตอนที่ผมทำงานเป็นผู้ดูแลหมวด ผมงานยุ่งมากจนไม่ค่อยมีเวลาให้เลสลี่เท่าไหร่ ผมเลยได้เรียนรู้อีกบทเรียนหนึ่ง เช้าตรู่วันจันทร์วันหนึ่งผมได้ยินเสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น พอออกไปดูก็ไม่เห็นมีใครแต่มีตะกร้าปิกนิกตั้งอยู่ ในนั้นมีผ้าปู มีผลไม้ ชีส ขนมปังฝรั่งเศส ไวน์ 1 ขวด แก้ว และโน้ตที่ไม่ได้ลงชื่อ ในโน้ตนั้นเขียนว่า “พาภรรยาของคุณไปปิกนิกนะ” วันนั้นอากาศดีมาก ท้องฟ้าแจ่มใส และมีแสงแดดอบอุ่น แต่ผมบอกกับเลสลี่ว่าผมต้องเตรียมคำบรรยาย คงไปไม่ได้หรอก เลสลี่เข้าใจแต่เธอก็เสียใจนิดหน่อย ผมกลับมานั่งที่โต๊ะ แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเลย ผมคิดถึงเอเฟซัส 5:25, 28 ข้อนั้นบอกว่าพระยะโฮวาอยากให้ผมใส่ใจความรู้สึกของภรรยาไม่ใช่เหรอ? หลังอธิษฐานเสร็จผมก็บอกเลสลี่ว่า “โอเค เราไปปิกนิกกันเถอะ” เลสลี่ดีใจมาก เราขับรถไปจอดตรงที่ที่เหมาะมากริมแม่น้ำ เราเอาผ้าปูกับพื้น มันเป็นวันหนึ่งที่เราสองคนมีความสุขมากที่สุดที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน และแน่นอนว่าผมก็สามารถเตรียมคำบรรยายเสร็จด้วย
เรามีงานเยอะมากแต่ก็มีความสุข เขตที่เราได้รับมอบหมายให้เดินหมวดกว้างมากตั้งแต่บริติชโคลัมเบียไปจนถึงเกาะนิวฟันด์แลนด์ ตอนนี้ความฝันของผมตั้งแต่เด็กที่จะได้เดินทางก็เป็นจริงแล้ว ผมเคยคิดเหมือนกันว่าจะสมัครเข้าโรงเรียนกิเลียดแต่ก็ไม่ได้อยากไปเป็นมิชชันนารีประเทศอื่น ผมรู้สึกว่าพี่น้องที่เป็นมิชชันนารีต้องเป็นคนที่เก่งมาก ๆ และผมก็รู้สึกว่าผมไม่มีความสามารถพอ นอกจากนั้น ผมกลัวจะถูกส่งไปประเทศแถบแอฟริกาที่มีสงครามหรือโรคระบาด ผมเลยรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ผมก็แฮปปี้ดีอยู่แล้ว
ตื่นเต้นตกใจที่ได้รับเชิญให้ไปเอสโตเนียและประเทศในกลุ่มบอลติก
ในปี 1992 พยานพระยะโฮวาสามารถประกาศอย่างอิสระในประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตได้อีกครั้ง เราเลยถูกขอให้ย้ายไปที่เอสโตเนียและเป็นมิชชันนารีที่นั่น เราสองคนตกใจมาก แต่เราก็อธิษฐานอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราคิดว่า ‘ถ้าพระยะโฮวาเชิญให้เราทำอะไร ทำไมเราไม่ลองทำดูล่ะ?’ เราสองคนเลยตอบรับคำเชิญ และผมก็คิดว่า ‘ก็ยังดีที่เขาไม่ส่งเราไปแอฟริกา’
เราเริ่มเรียนภาษาเอสโตเนียทันที และหลังจากที่เราย้ายไปอยู่ที่นั่นได้ไม่กี่เดือน เราก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานเป็นผู้ดูแลหมวด เราต้องเยี่ยม 46 ประชาคมและกลุ่มต่าง ๆ ใน 3 ประเทศที่อยู่ในกลุ่มบอลติกซึ่งก็คือเอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย รวมถึงคาลินินกราดที่อยู่ในรัสเซีย นี่หมายความว่าเราต้องพยายามเรียนภาษาลัตเวีย ลิทัวเนีย และรัสเซียด้วย มันไม่ง่ายเลย แต่พี่น้องก็ดีใจมากที่เราพยายามเรียนภาษาของพวกเขา และพี่น้องก็เต็มใจช่วยเราจริง ๆ ในปี 1999 เอสโตเนียก็มีสำนักงานสาขา และผมได้รับมอบหมายให้เป็นคณะกรรมการสาขาที่นั่นร่วมกับพี่น้องโทมัส อีดูร์ พี่น้องเลมบิต ไรเล และพี่น้องทอมมี เกาโก
เราได้รู้จักกับพยานฯหลายคนที่เคยถูกเนรเทศไปอยู่ที่ไซบีเรีย แม้ตอนนั้นพวกเขาจะมีสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายมากและต้องอยู่ไกลจากครอบครัว แต่พวกเขาก็ไม่เคยเคียดแค้นหรือจมอยู่ในความทุกข์เลย พี่น้องเหล่านี้มีความสุขและกระตือรือร้นในการรับใช้เสมอ นี่ทำให้เราเห็นเลยว่าเราเองก็อดทนและมีความสุขได้แม้จะเจอความยากลำบาก
เราสองคนทำงานหนักมากนานหลายปีและไม่ค่อยได้ใช้วันหยุดพักผ่อน เลสลี่เลยรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียมาก ตอนแรกเราไม่รู้ว่านี่เป็นอาการของโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังทั่วร่างกาย เราสองคนคิดจริงจังว่าอาจจะต้องออกจากงานมอบหมายและกลับไปที่แคนาดา แต่แล้วเราก็ได้รับเชิญให้เข้าโรงเรียนคณะกรรมการสาขาที่แพตเทอร์สัน นิวยอร์ก อเมริกา ผมไม่แน่ใจว่าเราจะเข้าร่วมได้ไหม หลังจากที่เราอธิษฐานอย่างจริงจัง เราก็ตอบรับคำเชิญและพระยะโฮวาก็อวยพรที่เราตัดสินใจแบบนั้น เพราะตอนที่เข้าโรงเรียนนี้ เลสลี่มีโอกาสได้ไปหาหมอ เธอเลยได้รับการรักษา ในที่สุดเราสามารถกลับไปทำงานรับใช้ได้ตามปกติ
อีกเรื่องที่ทำให้ตื่นเต้นตกใจ เราย้ายไปรับใช้อีกทวีปหนึ่ง
หลังจากนั้นเราได้กลับไปที่เอสโตเนีย แล้วอยู่ ๆ ในเย็นวันหนึ่งในปี 2008 ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากสำนักงานใหญ่ พวกเขาถามว่าผมจะยอมรับงานมอบหมายที่ให้ย้ายไปอยู่ที่คองโกไหม ผมช็อคไปเลยและผมต้องตอบกลับภายในวันพรุ่งนี้ด้วย ตอนแรกผมยังไม่ได้เล่าให้เลสลี่ฟังเพราะถ้าบอกเธอ เธอคงนอนไม่หลับแน่ แต่ปรากฏว่าคนที่นอนไม่หลับคือผม ผมอธิษฐานถึงพระยะโฮวาบอกพระองค์ว่าผมกังวลเรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับการย้ายไปแอฟริกา
วันถัดมาผมเล่าให้เลสลี่ฟัง และเราก็คุยกันว่า “พระยะโฮวากำลังเชิญเราให้ไปรับใช้ที่แอฟริกา ถ้าเราไม่ลองย้ายไปเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราทำงานรับใช้ที่นั่นได้หรือไม่ได้ และจะชอบที่นั่นรึเปล่า?” หลังจากที่เราอยู่เอสโตเนียประมาณ 16 ปี เราก็บินไปที่กินชาซา ประเทศคองโก สำนักงานสาขาที่นั่นมีสวนที่สวยงามและเงียบสงบ หนึ่งในสิ่งแรก ๆ ที่เลสลี่ทำก็คือเอาการ์ดใบหนึ่งที่เธอเอาติดตัวมาตั้งแต่ออกจากแคนาดามาวางไว้ในห้อง ในการ์ดนั้นเขียนว่า “ไม่ว่าจะย้ายไปที่ไหน ก็ให้มีความสุขกับที่นั่น” หลังจากได้เจอกับพี่น้อง ได้มีนักศึกษา และได้เจอกับตัวเองว่าการเป็นมิชชันนารีมันสนุกขนาดไหน เราก็มีความสุขมากจริง ๆ ที่ได้รับใช้พระยะโฮวาที่นั่น ต่อมาเรามีสิทธิพิเศษได้ไปเยี่ยมสำนักงานสาขาต่าง ๆ ในทวีปแอฟริกาถึง 13 ประเทศ นี่ทำให้เรามีโอกาสเจอกับผู้คนที่หลากหลายและน่าสนใจ จากตอนแรกที่ผมรู้สึกกังวลที่ต้องไปอยู่แอฟริกา ผมก็ไม่รู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว เราขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ ที่พระองค์ส่งเรามารับใช้ที่แอฟริกา
ที่คองโกเรามีโอกาสได้กินอาหารแปลก ๆ หลายอย่าง เช่น แมลง ตอนแรกเราคิดว่าเราคงไม่กล้ากินแน่ ๆ แต่พอได้เห็นพี่น้องกินกันอย่างเอร็ดอร่อย เราก็เลยลองบ้าง แล้วเราก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ
เรามีโอกาสไปภาคตะวันออกของคองโก ซึ่งเราได้ไปช่วยพี่น้องให้มีความเชื่อเข้มแข็งและเอาสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปให้พวกเขา ในแถบนั้นมักมีกลุ่มกองโจรคอยปล้นชาวบ้านเป็นระยะ ๆ พวกนั้นมักจะชอบทำร้ายผู้หญิงและเด็ก ๆ พี่น้องส่วนใหญ่ในแถบนั้นยากจนมาก แต่พวกเขาก็มีความหวังที่มั่นคงในเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย พวกเขารักพระยะโฮวามากและภักดีกับองค์การสุดหัวใจ นี่ทำให้เราประทับใจจริง ๆ ตัวอย่างของพวกเขาทำให้เราต้องกลับมาคิดทบทวนว่าเรามีความเชื่อเข้มแข็งแบบนั้นไหมและทำให้เราอยากมีความเชื่อที่มั่นคงมากขึ้น พี่น้องหลายคนต้องสูญเสียบ้านและพืชผลไร่นา เรื่องนี้เตือนใจผมว่าทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งที่ไม่คงทนถาวรและอาจจะหายไปอย่างรวดเร็วจริง ๆ และยังทำให้ผมเห็นค่าการสนิทกับพระยะโฮวาและมองว่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แม้พี่น้องเหล่านี้จะยากลำบากมากแต่พวกเขาแทบจะไม่บ่นเลย ตัวอย่างของพวกเขาให้กำลังใจเรารับมือกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตและไม่กังวลกับปัญหาเรื่องสุขภาพจนเกินไป
งานมอบหมายในเอเชีย
แล้วเราก็เจอเรื่องที่น่าตื่นเต้นตกใจอีกครั้ง เราได้รับเชิญให้ไปรับใช้ที่สำนักงานสาขาฮ่องกง เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะไปอยู่แถบเอเชีย แต่จากงานมอบหมายทั้งหมดที่ผ่านมา เราเห็นเลยว่าพระยะโฮวาดูแลเราเสมอ เราเลยเต็มใจตอบรับคำเชิญนี้แต่ก็อดร้องไห้ไม่ได้ที่ต้องจากเพื่อน ๆ และประเทศที่สวยงามแถบแอฟริกาในปี 2013 และเรายังไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรรอเราอยู่
ฮ่องกงมีคนเยอะมากและสับสนวุ่นวาย พอเราไปอยู่ที่นั่นมันเลยเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับเรา การเรียนภาษาจีนกวางตุ้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พี่น้องก็ต้อนรับเราอย่างอบอุ่น และเราก็ชอบอาหารที่นั่นมาก งานในเขตสาขาฮ่องกงกำลังขยายอย่างรวดเร็วและสาขาก็ต้องการพื้นที่เพิ่ม แต่ราคาที่ดินก็พุ่งสูงจริง ๆ คณะกรรมการปกครองเลยตัดสินใจย้ายงานบางส่วนไปที่สาขาอื่น และขายอาคารกับที่ดินส่วนใหญ่ที่นั่น และไม่นานหลังจากนั้นคือในปี 2015 เราก็ได้รับเชิญให้ไปรับใช้ที่สาขาเกาหลีใต้ซึ่งเรายังคงรับใช้ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้ พอมาอยู่ที่เกาหลีเราก็ต้องเรียนภาษาใหม่อีกภาษาหนึ่งซึ่งก็ยากเหมือนกัน และแม้เราจะยังพูดภาษาเกาหลีไม่ค่อยเก่งแต่พี่น้องก็น่ารักมาก พวกเขาชอบชมเราตอนที่เราพยายามพูดภาษาเกาหลีกับพวกเขา
ได้เรียนบทเรียนหลายอย่าง
การหาเพื่อนใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป แต่เราเห็นเลยว่าการมีน้ำใจต้อนรับแขกทำให้เรารู้จักกับพี่น้องได้ง่ายขึ้น และเรายังเห็นอีกว่าถึงพี่น้องจะแตกต่างกัน แต่พวกเขาก็มีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกัน นอกจากนั้น เรายังได้เรียนรู้ว่าพระยะโฮวาออกแบบเราแต่ละคนมาอย่างยอดเยี่ยมให้สามารถเปิดใจและรักพี่น้องมากมายได้—2 คร. 6:11
เราเห็นว่าจำเป็นจริง ๆ ที่เราต้องมองผู้คนแบบที่พระยะโฮวามอง นอกจากนั้น เราต้องมองให้ออกว่าพระยะโฮวารักเราและชี้นำเราอยู่ เมื่อไหร่ที่เราท้อใจหรือสงสัยว่าพี่น้องชอบเราหรือเปล่า เราจะอ่านการ์ดหรือจดหมายจากเพื่อน ๆ ที่เราเก็บไว้เพื่อจะได้กำลังใจ ไม่ใช่แค่นั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเราได้เห็นว่าพระยะโฮวาตอบคำอธิษฐานของเราจริง ๆ และพระองค์ทำให้เรามั่นใจว่าพระองค์รักเราและช่วยเราให้เข้มแข็งต่อ ๆ ไป
ตลอดหลายปี ผมกับเลสลี่รู้เลยว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องให้เวลากันและกันไม่ว่าเราจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม นอกจากนั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะมองเป็นเรื่องขำ ๆ เวลาที่เราทำผิดพลาดโดยเฉพาะตอนที่เรากำลังเรียนภาษาใหม่ และทุกคืนเราจะพยายามคิดว่าวันนี้มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นบ้างที่ทำให้เรารู้สึกขอบคุณพระยะโฮวา
ผมเคยคิดว่าตัวเองคงไม่มีทางเป็นมิชชันนารีหรือย้ายไปอยู่ต่างประเทศได้ แต่ผมก็มีความสุขจริง ๆ ที่เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าพระยะโฮวาช่วย ผมคิดถึงคำพูดของเยเรมีย์ที่บอกว่า “พระยะโฮวา พระองค์หลอกผม” (ยรม. 20:7) ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ พระยะโฮวาทำให้ผมตื่นเต้นตกใจหลายต่อหลายครั้งแต่ก็มีความสุขมาก และพระองค์อวยพรผมมากมายเกินกว่าที่ผมจะนึกออกได้ พระองค์ถึงกับทำให้ความฝันของผมเป็นจริง พระองค์ให้ผมมีโอกาสได้ขึ้นเครื่องบินและได้ไปประเทศต่าง ๆ มากมายเกินกว่าที่คิดฝันไว้ตอนเด็ก ๆ ผมมีโอกาสไปเยี่ยมสำนักงานสาขาต่าง ๆ ถึง 5 ทวีป ผมรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่เลสลี่เต็มใจคอยอยู่เคียงข้างผมและสนับสนุนผมไม่ว่าเราสองคนจะได้รับงานมอบหมายอะไรก็ตาม
เราพยายามเตือนตัวเองเสมอว่าทุกอย่างที่เราทำ เราทำเพื่อใครและเราทำทำไม พรที่เราได้รับตอนนี้ทำให้เราเห็นเลยว่าชีวิตตลอดไปในอนาคตจะดีขนาดไหนตอนที่พระยะโฮวาจะ “ยื่นมือออกมา ทำให้ทุกชีวิตอิ่มสมปรารถนา”—สด. 145:16