บท 15
พระเยซู “ตั้งความยุติธรรมไว้ในโลก”
1, 2. ที่วิหารในกรุงเยรูซาเล็มมีอะไรที่ทำให้พระเยซูโกรธ?
ตอนที่พระเยซูมาถึงวิหารเพื่อนมัสการพระยะโฮวา ท่านเห็นบางอย่างที่ทำให้โกรธมาก คุณอาจไม่เชื่อว่าพระเยซูจะเป็นอย่างนั้นเพราะท่านเป็นคนอ่อนโยน (มัทธิว 21:5) แน่นอน ท่านควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างดี แต่ที่ท่านโกรธก็เพราะท่านมีความรักที่แรงกล้าต่อวิหารของพระเจ้าa แล้วมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นที่ทำให้ท่านโกรธมากขนาดนั้น?
2 พระเยซูรักวิหารในกรุงเยรูซาเล็มมาก วิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียวที่ใช้นมัสการพ่อของท่านในสวรรค์ คนยิวจากหลายดินแดนเดินทางไกลมากเพื่อไปนมัสการที่นั่น แม้แต่คนต่างชาติที่เกรงกลัวพระเจ้าก็เดินทางมาที่นี่และเข้าไปในลานวิหารที่จัดไว้ให้พวกเขา แต่ในช่วงต้น ๆ ของงานรับใช้ พระเยซูเข้าไปในบริเวณวิหารและได้เห็นสิ่งที่น่าตกใจ ที่นั่นเป็นเหมือนตลาดมากกว่าสถานที่นมัสการพระเจ้า มีพวกพ่อค้าและคนรับแลกเงินมากมาย ทำไมนี่ถึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง? เพราะพวกเขาใช้วิหารของพระเจ้าเพื่อเอาเปรียบและหาผลประโยชน์จากผู้คน พวกเขาทำอะไรบ้าง?—ยอห์น 2:14
3, 4. เกิดอะไรขึ้นที่วิหารของพระยะโฮวา และพระเยซูลงมือทำอะไร?
3 พวกหัวหน้าศาสนาได้ตั้งกฎไว้ว่าเงินที่จะใช้เสียภาษีบำรุงวิหารนั้นต้องเป็นเหรียญชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ และคนที่มาต้องแลกเงินเพื่อจะได้เหรียญแบบนั้น ดังนั้น คนรับแลกเงินเลยตั้งโต๊ะอยู่ข้างในวิหารและคิดค่าธรรมเนียมสำหรับการแลกเงินแต่ละครั้ง พ่อค้าบางคนก็ขายสัตว์ในวิหารและได้กำไรมากด้วย คนที่ต้องการถวายสัตว์เป็นเครื่องบูชาจะซื้อสัตว์จากพ่อค้าคนไหนที่อยู่ในเมืองก็ได้ แต่พวกเจ้าหน้าที่ดูแลวิหารอาจบอกว่าเครื่องบูชานั้นใช้ไม่ได้ แต่ถ้าเขาซื้อสัตว์จากพวกพ่อค้าที่อยู่ในวิหารก็จะใช้ได้แน่นอน คนที่มาที่วิหารเลยต้องซื้อสัตว์ด้วยราคาที่แพงมากb พวกพ่อค้าไม่ใช่แค่ได้กำไรเท่านั้น แต่พวกเขากำลังปล้นผู้คนชัด ๆ
4 พระเยซูรับไม่ได้ที่มีใครทำเรื่องไม่ดีแบบนั้น นี่เป็นบ้านของพ่อท่าน ท่านเอาเชือกมาทำเป็นแส้แล้วไล่วัวและแกะออกไปจากบริเวณวิหาร แล้วท่านก็คว่ำโต๊ะของคนรับแลกเงิน เงินเหรียญทั้งหมดกลิ้งไปตามพื้นหินอ่อน และท่านบอกพวกคนขายนกพิราบว่า “เอาของพวกนี้ออกไปให้หมด” (ยอห์น 2:15, 16) พระเยซูแสดงความกล้าจริง ๆ และไม่มีใครกล้าหยุดท่านเลย
“เอาของพวกนี้ออกไปให้หมด”
พ่อเป็นยังไง ลูกก็เป็นอย่างนั้น
5-7. (ก) ก่อนที่พระเยซูจะมาบนโลกท่านได้เรียนอะไรเกี่ยวกับความยุติธรรมของพระยะโฮวา และเราเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของท่าน? (ข) พระเยซูทำให้เห็นยังไงว่าข้อกล่าวหาของซาตานไม่จริง และท่านจะทำให้เรื่องนี้เห็นชัดเจนมากขึ้นยังไงในอนาคต?
5 แน่นอนพวกพ่อค้ากลับมาอีก และประมาณสามปีต่อมาพระเยซูก็ไล่พวกเขาออกจากวิหารอีกครั้ง คราวนี้ท่านใช้คำพูดของพระยะโฮวาเพื่อตำหนิคนที่ทำให้บ้านของพระองค์เป็น “ถ้ำโจร” (เยเรมีย์ 7:11; มัทธิว 21:13) พระเยซูรู้สึกแบบเดียวกับพ่อของท่านเมื่อเห็นพวกเขาเอาเปรียบคนอื่นและทำให้วิหารของพระเจ้าเสื่อมเสีย เรื่องนี้ไม่แปลกเลยเพราะตอนที่พระเยซูอยู่บนสวรรค์ท่านได้รับการสอนจากพ่อของท่านเป็นเวลานานหลายล้านปี ท่านได้เรียนรู้เกี่ยวกับความยุติธรรมของพระยะโฮวาและสามารถเลียนแบบความรู้สึกของพ่อได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่ช่วยให้เราเข้าใจคำพูดที่ว่า พ่อเป็นยังไง ลูกก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้น เพื่อจะเข้าใจความยุติธรรมของพระยะโฮวาได้อย่างเต็มที่เราต้องเรียนจากตัวอย่างของพระเยซูคริสต์—ยอห์น 14:9, 10
6 ลูกคนเดียวของพระยะโฮวาอยู่ด้วยตอนที่ซาตานกล่าวหาว่าพระยะโฮวาพระเจ้าโกหก และตั้งข้อสงสัยว่าการปกครองของพระองค์ไม่ดี นี่เป็นการใส่ร้ายชัด ๆ พระเยซูยังได้ยินซาตานกล่าวหาว่าไม่มีใครรับใช้พระยะโฮวาเพราะรักพระองค์จริง ๆ พระเยซูคงรู้สึกเจ็บปวดมากที่ได้ยินข้อกล่าวหาเหล่านั้น แต่ท่านคงดีใจมากที่รู้ว่าท่านจะมีส่วนสำคัญในการพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นไม่จริง (2 โครินธ์ 1:20) ท่านจะทำแบบนั้นได้ยังไง?
7 ในบท 14 เราได้เรียนว่าพระเยซูคริสต์ให้คำตอบที่ชัดเจนและดีที่สุดเรื่องที่ซาตานกล่าวหาผู้รับใช้ของพระยะโฮวา พระเยซูทำให้ชื่อพระยะโฮวาได้รับความนับถือและทำให้พ้นจากการใส่ร้ายทั้งหมด รวมทั้งคำโกหกที่ว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ปกครองที่ไม่ดี พระเยซูผู้นำคนสำคัญจะทำให้ความยุติธรรมของพระยะโฮวามีทั่วทั้งเอกภพ (กิจการ 5:31) ตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกท่านสอนและทำตามความยุติธรรมของพระยะโฮวาเสมอ พระยะโฮวาบอกเกี่ยวกับพระเยซูว่า “เราจะเอาพลังของเราใส่ไว้ในตัวเขา และเขาจะทำให้คนทุกชาติได้รับความยุติธรรมอย่างแท้จริง” (มัทธิว 12:18) พระเยซูทำให้คำพูดเหล่านี้เป็นจริงยังไง?
พระเยซูทำให้เห็นชัดเจนว่าความยุติธรรมหมายถึงอะไร
8-10. (ก) กฎหมายสืบปากของพวกหัวหน้าศาสนาชาวยิวดูถูกคนที่ไม่ใช่ชาวยิวและผู้หญิงยังไง? (ข) กฎหมายเหล่านี้ทำให้กฎวันสะบาโตของพระยะโฮวาเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยังไง?
8 พระเยซูรักกฎหมายของพระยะโฮวาและท่านทำตามกฎหมายนั้นเสมอ แต่พวกหัวหน้าศาสนาในตอนนั้นไม่ได้สอนกฎหมายของพระเจ้าอย่างถูกต้องและยังเอาไปใช้อย่างผิด ๆ ด้วย พระเยซูบอกพวกเขาว่า “พวกครูสอนศาสนาและฟาริสี พวกคนเสแสร้ง พวกคุณต้องรับโทษหนักแน่ ๆ เพราะพวกคุณ . . . มองข้ามเรื่องที่สำคัญกว่าในกฎหมายของโมเสส นั่นคือ ความยุติธรรม ความเมตตา และความซื่อสัตย์” (มัทธิว 23:23) เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นที่สอนกฎหมายของพระเจ้าไม่ได้ทำให้ผู้คนเข้าใจว่าความยุติธรรมหมายถึงอะไร พวกเขาทำอะไร? ให้เรามาดูบางตัวอย่างด้วยกัน
9 พระยะโฮวาสั่งประชาชนของพระองค์ให้แยกตัวจากชาติที่อยู่รอบ ๆ พวกเขา (1 พงศ์กษัตริย์ 11:1, 2) หัวหน้าศาสนาบางคนสอนประชาชนให้เกลียดและดูถูกทุกคนที่ไม่ใช่คนยิว หนังสือมิชนาห์มีกฎข้อหนึ่งที่บอกว่า “อย่าปล่อยสัตว์ของคุณไว้กับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว เพราะพวกเขาอาจมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ของคุณ” ความคิดแบบนั้นไม่ถูกต้องและขัดกับกฎหมายของโมเสส (เลวีนิติ 19:34) พวกหัวหน้าศาสนายังสอนให้มองว่าผู้หญิงไม่มีค่า ตัวอย่างเช่น กฎหมายสืบปากบอกว่าภรรยาควรเดินตามหลังสามี ไม่ใช่เดินอยู่ข้างสามี มีการเตือนผู้ชายไม่ให้พูดคุยกับผู้หญิงในที่สาธารณะรวมถึงภรรยาของตัวเองด้วย ผู้หญิงเป็นเหมือนทาสที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นพยานในศาล นอกจากนั้น ยังมีคำอธิษฐานเป็นทางการให้ผู้ชายขอบคุณพระเจ้าที่พวกเขาไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง
10 พวกหัวหน้าศาสนาตั้งกฎมากมายที่ทำให้ประชาชนไม่เข้าใจว่ากฎหมายของพระเจ้าสอนอะไรจริง ๆ ตัวอย่างเช่น กฎวันสะบาโตแค่ห้ามไม่ให้ทำงานในวันนั้น แต่ให้กันไว้เพื่อนมัสการพระเจ้า ใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น และเพื่อพักผ่อน พวกฟาริสีทำให้กฎนั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำตาม พวกเขาตัดสินเอาเองว่ามีอะไรบ้างที่เป็น “การทำงาน” พวกเขากำหนดกิจกรรมต่าง ๆ 39 อย่างว่าเป็นการทำงาน เช่น การเก็บเกี่ยวหรือการล่าสัตว์ ข้อกำหนดเหล่านั้นทำให้ประชาชนไม่รู้ว่าทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้ ถ้าผู้ชายคนหนึ่งฆ่าตัวหมัดในวันสะบาโต นั่นถือว่าเขาล่าสัตว์ไหม? ถ้าเขาเด็ดรวงข้าวกำหนึ่งมากินตอนที่เดินไปตามทาง นั่นถือว่าเขากำลังเก็บเกี่ยวไหม? ถ้าเขารักษาคนป่วย เขาก็กำลังทำงานไหม? พวกหัวหน้าศาสนาตอบคำถามเหล่านี้ด้วยกฎที่เข้มงวดและเข้าใจยาก
11, 12. พระเยซูทำให้เห็นยังไงว่ากฎมากมายของพวกฟาริสีไม่ถูกต้อง?
11 แล้วพระเยซูจะช่วยผู้คนยังไงให้เข้าใจความหมายของความยุติธรรม? สิ่งที่พระเยซูสอนและทำแสดงให้เห็นชัดว่าพวกหัวหน้าศาสนาสอนผิด ตอนนี้ให้เรามาดูคำสอนบางอย่างของท่าน ท่านตำหนิอย่างตรงไปตรงมาที่พวกเขาตั้งกฎมากมายขึ้นมาโดยบอกว่า “พวกคุณเองนั่นแหละที่ทำให้คำสอนของพระเจ้าไม่มีความหมายเพราะธรรมเนียมของพวกคุณ”—มาระโก 7:13
12 พระเยซูสอนอย่างชัดเจนว่าพวกฟาริสีมีความคิดที่ไม่ถูกต้องเรื่องกฎวันสะบาโตและพวกเขาไม่เข้าใจว่าพระยะโฮวาให้กฎหมายนี้เพื่ออะไร พระเยซูบอกว่าเมสสิยาห์เป็น “เจ้าเหนือวันสะบาโต” และมีสิทธิ์ที่จะรักษาผู้คนในวันสะบาโต (มัทธิว 12:8) เพื่อทำให้เรื่องนี้ชัดเจนมากขึ้น ท่านรักษาคนป่วยอย่างเปิดเผยในวันสะบาโต (ลูกา 6:7-10) การรักษาของท่านแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ท่านจะทำในช่วง 1,000 ปีที่ท่านปกครอง ช่วงนั้นจะเป็นวันสะบาโตที่ยิ่งใหญ่ เพราะทุกคนที่ซื่อสัตย์จะไม่ต้องเจอกับความทุกข์และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากบาปและความตาย
13. พระเยซูให้กฎหมายอะไรกับสาวกของท่าน และกฎหมายนี้ไม่เหมือนกับกฎหมายของโมเสสยังไง?
13 พระเยซูยังทำให้เห็นชัดว่าความยุติธรรมหมายถึงอะไรโดยทางกฎหมายใหม่ คือ “กฎหมายของพระคริสต์” ซึ่งเริ่มมีผลหลังจากท่านทำงานรับใช้บนโลกเสร็จแล้ว (กาลาเทีย 6:2) กฎหมายใหม่นี้ส่วนใหญ่เป็นหลักการและไม่เหมือนกับกฎหมายของโมเสสที่มีคำสั่งมากมาย แต่กฎหมายนี้ก็มีคำสั่งบางอย่างที่เจาะจงด้วย พระเยซูเรียกคำสั่งข้อหนึ่งว่าเป็น “กฎหมายใหม่” ท่านสอนสาวกทุกคนให้รักกันเหมือนที่ท่านรักพวกเขา (ยอห์น 13:34, 35) ดังนั้น ทุกคนที่เชื่อฟัง “กฎหมายของพระคริสต์” จะรักกันด้วย
ตัวอย่างของพระเยซูสอนเรื่องความยุติธรรม
14, 15. พระเยซูทำให้เห็นยังไงว่าท่านไม่ได้รับอำนาจให้ทำได้ทุกอย่าง และนี่ทำให้เรามั่นใจในเรื่องอะไร?
14 พระเยซูไม่ได้แค่สอนเรื่องความรักเท่านั้น แต่ท่านทำตาม “กฎหมายของพระคริสต์” ด้วย ให้เรามาดูสามตัวอย่างที่พระเยซูทำให้เห็นชัดเจนว่าความยุติธรรมหมายถึงอะไร
15 ตัวอย่างแรก พระเยซูหลีกเลี่ยงการกระทำทุกอย่างที่ไม่ยุติธรรม คุณอาจเห็นว่าผู้คนทำหลายอย่างที่ไม่ยุติธรรมและทำเกินสิทธิ์เมื่อพวกเขากลายเป็นคนหยิ่ง แต่พระเยซูไม่ได้ทำอย่างนั้น มีครั้งหนึ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาหาพระเยซูแล้วบอกว่า “อาจารย์ครับ ขอบอกพี่ชายผมให้แบ่งมรดกให้ผมบ้าง” พระเยซูตอบเขาว่า “ใครตั้งผมเป็นผู้พิพากษาหรือผู้ไกล่เกลี่ยให้พวกคุณ” (ลูกา 12:13, 14) เรื่องนี้สอนให้เรารู้อะไรเกี่ยวกับท่าน? ถึงแม้พระเยซูจะฉลาดมาก มีสติปัญญา และได้รับอำนาจจากพระเจ้ามากกว่าคนอื่นบนโลก แต่ท่านก็ไม่ยอมไกล่เกลี่ยให้พวกเขา เพราะท่านไม่ได้รับอำนาจให้ทำอย่างนั้น พระเยซูเจียมตัวเสมอและยอมรับว่าท่านไม่มีอำนาจที่จะทำทุกอย่าง แม้แต่หลายพันปีก่อนที่ท่านจะมาบนโลก ท่านไม่เคยทำอะไรที่ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะทำ (ยูดา 9) นี่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูถ่อมและไว้วางใจว่าพระยะโฮวาจะตัดสินเรื่องต่าง ๆ อย่างถูกต้องและยุติธรรมเสมอ
16, 17. (ก) พระเยซูแสดงความยุติธรรมยังไงตอนที่ประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า? (ข) พระเยซูทำให้เห็นความยุติธรรมยังไงโดยเมตตาคนอื่น?
16 ตัวอย่างที่สอง พระเยซูแสดงความยุติธรรมในการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า ท่านไม่ลำเอียงแต่พยายามประกาศกับคนทุกชนิด ไม่ว่าพวกเขาจะรวยหรือจน ท่านไม่เหมือนกับพวกฟาริสีที่มองคนจนและคนธรรมดาว่าไม่สมควรจะได้รับความช่วยเหลือและเรียกพวกเขาว่า อัมฮาอาเร็ตส์ หรือ “ชาวบ้าน” พระเยซูบอกอย่างกล้าหาญว่าความคิดของพวกเขาไม่ถูกต้อง ท่านสอนข่าวดีกับทุกคน กินอาหารกับพวกเขา เลี้ยงอาหารพวกเขา รักษาพวกเขาให้หายโรค และยังปลุกคนตายให้ฟื้น ท่านเลียนแบบความยุติธรรมของพระเจ้าผู้ที่ต้องการช่วย “คนทุกชนิด” ให้รอดc—1 ทิโมธี 2:4
17 ตัวอย่างที่สาม พระเยซูทำให้เห็นความยุติธรรมโดยเมตตาคนอื่น ท่านหาโอกาสที่จะช่วยเหลือคนบาป (มัทธิว 9:11-13) ท่านพร้อมช่วยเหลือคนที่ปกป้องตัวเองไม่ได้ ตัวอย่างเช่น พระเยซูไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของพวกหัวหน้าศาสนาที่สอนผู้คนให้เกลียดคนต่างชาติ ถึงแม้ว่าพระยะโฮวาจะส่งท่านให้มาช่วยคนยิว แต่ท่านก็ช่วยเหลือและสอนคนต่างชาติบางคนด้วยความเมตตา ท่านยินดีรักษาคนใช้ของทหารชาวโรมันให้หายโรคโดยการอัศจรรย์ ท่านบอกว่า “ผมไม่เคยพบคนอิสราเอลคนไหนที่มีความเชื่อมากขนาดนี้มาก่อนเลย”—มัทธิว 8:5-13
18, 19. (ก) พระเยซูให้เกียรติผู้หญิงยังไงบ้าง? (ข) ตัวอย่างของพระเยซูช่วยเรายังไงให้เห็นว่าความกล้าหาญกับความยุติธรรมเกี่ยวข้องกัน?
18 พระเยซูไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ผู้คนมีต่อผู้หญิง ท่านกล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง คนยิวเชื่อว่าผู้หญิงสะมาเรียไม่สะอาดเหมือนกับคนต่างชาติและเป็นเรื่องผิดที่จะคบหากับพวกเขา แต่พระเยซูไม่ลังเลที่จะประกาศกับผู้หญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำในเมืองสิคาร์ ที่จริง พระเยซูบอกกับเธอเป็นคนแรกว่าท่านเป็นเมสสิยาห์ตามคำสัญญา (ยอห์น 4:6, 25, 26) พวกฟาริสีบอกว่าไม่ควรสอนกฎหมายให้พวกผู้หญิง แต่พระเยซูใช้เวลาสอนพวกเธอ (ลูกา 10:38-42) และถึงแม้หัวหน้าศาสนาสอนว่าผู้หญิงไม่สามารถเป็นพยานที่เชื่อถือได้ พระเยซูให้เกียรติผู้หญิงโดยให้พวกเธอได้เห็นท่านก่อนคนอื่น ๆ หลังจากที่ท่านฟื้นขึ้นจากตาย ท่านถึงกับสั่งให้พวกเธอไปบอกสาวกคนอื่นเรื่องเหตุการณ์ที่สำคัญนี้—มัทธิว 28:1-10
19 พระเยซูทำให้เห็นชัดเจนว่าความยุติธรรมหมายถึงอะไร หลายครั้งท่านทำอย่างนั้นแม้ต้องเสี่ยงอันตรายมาก ตัวอย่างของพระเยซูช่วยให้เห็นว่าเราต้องมีความกล้าหาญเพื่อจะทำสิ่งที่พระยะโฮวาบอกว่ายุติธรรม ดังนั้นเหมาะสมที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกท่านว่า “สิงโตจากตระกูลยูดาห์” (วิวรณ์ 5:5) ขอให้จำไว้ว่าบ่อยครั้งสิงโตที่กล้าหาญเป็นภาพเปรียบเทียบถึงความยุติธรรม อีกไม่นาน พระเยซูจะทำอีกหลายอย่างเพื่อจะตั้ง “ความยุติธรรมไว้ในโลก”—อิสยาห์ 42:4
กษัตริย์เมสสิยาห์ “ตั้งความยุติธรรมไว้ในโลก”
20, 21. ในทุกวันนี้ กษัตริย์เมสสิยาห์ได้ทำให้มีความยุติธรรมบนโลกและในประชาคมคริสเตียนยังไง?
20 ตั้งแต่พระเยซูเริ่มเป็นกษัตริย์เมสสิยาห์ในปี 1914 ท่านได้ทำให้มีความยุติธรรมบนโลก ท่านทำอะไรบ้าง? ท่านทำให้คำพยากรณ์ในมัทธิว 24:14 เกิดขึ้นจริง สาวกของท่านได้สอนความจริงเรื่องรัฐบาลของพระยะโฮวากับผู้คนทั่วโลก เหมือนกับพระเยซูพวกเขาได้ประกาศกับคนทุกชนิด ไม่ว่าคนหนุ่มสาวหรือคนสูงอายุ คนรวยหรือคนจน ผู้ชายหรือผู้หญิงให้มารู้จักพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งความยุติธรรม
21 นอกจากนั้น พระเยซูยังทำให้มีความยุติธรรมในประชาคมคริสเตียนซึ่งท่านเป็นผู้นำ และเหมือนที่มีพยากรณ์ไว้ท่านให้ “ของขวัญที่เป็นมนุษย์” คือคริสเตียนผู้ดูแลที่ซื่อสัตย์ซึ่งนำหน้าในประชาคม (เอเฟซัส 4:8-12) พวกเขาดูแลฝูงแกะที่มีค่าของพระเจ้าโดยทำตามตัวอย่างของพระเยซูคริสต์ในเรื่องความยุติธรรม พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าพระเยซูอยากให้พวกเขาทำกับแกะของท่านอย่างไม่ลำเอียง ไม่ว่าพวกเขาจะรวยหรือจน หรือจะมีฐานะอะไรในสังคม
22. พระยะโฮวารู้สึกยังไงกับความไม่ยุติธรรมที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวันนี้ และพระองค์แต่งตั้งลูกของพระองค์ให้ทำอะไรกับเรื่องนี้?
22 อีกไม่นานพระเยซูจะทำให้มีความยุติธรรมในโลกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ในทุกวันนี้ความไม่ยุติธรรมมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเลยที่เด็กต้องตายเพราะความอดอยาก ตอนที่หลายประเทศใช้เงินมากมายซื้ออาวุธสงครามและหลายคนใช้เงินอย่างเห็นแก่ตัวเพื่อหาความสุขให้กับตัวเอง ในแต่ละปี หลายล้านคนต้องตายอย่างไม่ยุติธรรม นี่ทำให้พระยะโฮวาโกรธมาก พระองค์ได้แต่งตั้งลูกของพระองค์ให้ทำสงครามที่ชอบธรรมกับโลกชั่วนี้เพื่อทำให้ความไม่ยุติธรรมทุกอย่างหมดไปอย่างถาวร—วิวรณ์ 16:14, 16; 19:11-15
23. หลังอาร์มาเกดโดนพระคริสต์จะทำให้มีความยุติธรรมตลอดไปยังไง?
23 แต่ความยุติธรรมของพระยะโฮวาไม่ได้หมายถึงแค่การทำลายคนชั่วเท่านั้น พระองค์ยังได้แต่งตั้งลูกของพระองค์ให้ปกครองในฐานะ “เจ้าชายแห่งสันติสุข” ด้วย หลังจากสงครามอาร์มาเกดโดน การปกครองของพระเยซูจะทำให้ทั้งโลกมีสันติสุขและการปกครองของท่านจะทำให้ “มีความยุติธรรม” ตลอดไป (อิสยาห์ 9:6, 7) พระเยซูจะมีความสุขมากที่ได้เห็นความไม่ยุติธรรมซึ่งทำให้มนุษย์ต้องทนทุกข์และลำบากหมดไป ท่านจะสนับสนุนความยุติธรรมที่สมบูรณ์แบบของพระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ตลอดไป ดังนั้น สำคัญมากที่เราจะพยายามเลียนแบบความยุติธรรมของพระยะโฮวาตั้งแต่ตอนนี้ ขอให้เรามาดูว่าจะทำอย่างนั้นได้ยังไง
a พระเยซูโกรธเพราะมีบางอย่างที่ไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ท่านรู้สึกเหมือนพระยะโฮวาที่ต้องการจะ “เทความโกรธของพระองค์” ลงบนคนชั่ว (นาฮูม 1:2) ตัวอย่างเช่น หลังจากพระยะโฮวาบอกประชาชนที่ดื้อรั้นของพระองค์ว่าพวกเขาได้ทำให้วิหารของพระองค์เป็น “ถ้ำโจร” พระองค์ยังบอกด้วยว่า “เราจะระบายความโกรธใส่ที่นี่”—เยเรมีย์ 7:11, 20
b หนังสือมิชนาห์บอกว่าหลายปีต่อมามีการประท้วงเพราะมีการขายนกพิราบแพงเกินไปที่วิหาร แล้วหลังจากนั้นราคาก็ลดลงทันทีประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ จริง ๆ แล้วใครได้ประโยชน์จากการค้าขายที่ทำกำไรนี้? นักประวัติศาสตร์บางคนบอกว่าครอบครัวของมหาปุโรหิตอันนาสเป็นเจ้าของการค้าขายในวิหารและนั่นทำให้ครอบครัวของเขาร่ำรวยมาก—ยอห์น 18:13
c พวกฟาริสีมองคนธรรมดาที่ไม่เข้าใจกฎหมายของพระเจ้าว่าเป็นคนที่ “ถูกสาปแช่ง” (ยอห์น 7:49) พวกฟาริสีบอกว่าไม่ควรสอนคนเหล่านั้น ทำธุรกิจกับพวกเขา กินอาหารกับพวกเขา หรือแม้แต่อธิษฐานกับพวกเขา การยอมให้ลูกสาวไปแต่งงานกับคนพวกนั้นเป็นเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่าการปล่อยให้สัตว์ป่าทำร้ายเธอ พวกเขายังเชื่อด้วยว่าคนเหล่านั้นไม่ดีพอที่จะได้รับการปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย